M’Cheyne Bible Reading Plan
เครื่องแต่งกายของปุโรหิต
39 พวกเขาใช้ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสดทำเครื่องแต่งกายเย็บด้วยฝีมือประณีตเพื่อการปฏิบัติงานในสถานที่บริสุทธิ์ และทำเครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์สำหรับอาโรน ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสไว้
ชุดคลุม
2 และเขาตัดเย็บชุดคลุมด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดี 3 เขาตีทองใบให้บางแล้วตัดเป็นเส้น เพื่อสานเข้ากับด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดีปักอย่างงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ 4 พวกเขาทำแถบผ้าพาดบ่า ติดไว้ที่ชุดคลุม ติดให้เป็นผืนเดียวกัน 5 ตอนบนเป็นผ้าคาดเอวซึ่งทอด้วยฝีมือชั้นดีสำหรับสวมให้กระชับกับชุดคลุม ใช้ผ้าและด้ายชนิดเดียวกันกับชุดคลุม ใช้ด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
6 พวกเขาหล่อกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่งล้อมแผ่นพลอยหลากสี และสลักชื่อของบรรดาบุตรของอิสราเอล ดังเช่นสลักตราประทับ 7 และติดแผ่นพลอยไว้ที่แถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมอยู่กับชุดคลุม เพื่อเป็นพลอยแห่งการรำลึกถึงพงศ์พันธุ์อิสราเอล ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
ทับทรวง
8 เขาตัดเย็บทับทรวงอย่างงดงามด้วยช่างผู้ชำนาญ เหมือนกับที่ตัดเย็บชุดคลุม ด้วยด้ายทอง ด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด อีกทั้งผ้าป่านทอเนื้อดี 9 ทับทรวงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับทบเป็น 2 ชั้น มีความยาว 1 คืบและกว้าง 1 คืบเมื่อพับทบ 10 แล้วเขาจึงติดเพชรนิลจินดา 4 แถวที่ทับทรวง แถวแรกเป็นทับทิม บุษราคัม และแก้วผลึกสีเขียวปนน้ำเงิน 11 แถวที่สองฝังพลอยสีฟ้า นิลสีคราม และเพชร 12 แถวที่สามฝังแก้วผลึกสีส้มปนแดง โมรา และพลอยสีม่วง 13 และแถวที่สี่ติดโกเมน พลอยหลากสี และมณีสีเขียว เพชรพลอยเหล่านี้ฝังไว้กับกรอบทองคำฉลุลวดลายโปร่ง 14 มีเพชรพลอย 12 เม็ด แต่ละเม็ดสลักชื่อบุตรแต่ละคนของอิสราเอล สลักชื่อทุกชื่อดังเช่นสลักตราประทับ เป็นชื่อสำหรับ 12 เผ่า 15 พวกเขาตีสายคล้องถักเป็นเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับโยงติดกับทับทรวง 16 และตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ทับทรวงทั้ง 2 มุม 17 แล้วติดสายคล้องทองคำทั้งสองไว้กับห่วง 2 อันที่มุมของทับทรวง 18 ปลายสายคล้องอีก 2 ข้าง เขาโยงไว้กับกรอบฉลุลวดลายโปร่งที่ด้านหน้าซึ่งติดอยู่กับแถบผ้าพาดบ่าที่เชื่อมกับชุดคลุม 19 พวกเขาตีห่วงทองคำ 2 อันติดเข้ากับมุมล่างทั้งสองของทับทรวงที่ริมด้านในที่ติดกับชุดคลุม 20 และตีห่วงทองคำ 2 อันติดไว้ที่ด้านหน้าตอนล่างของแถบผ้าพาดบ่าที่ติดกับขอบชุดคลุมเหนือผ้าคาดเอวที่ทอขึ้นอย่างงดงาม 21 พวกเขาผูกห่วงที่ทับทรวงให้ติดกับห่วงที่ชุดคลุมด้วยสายเกลียวสีน้ำเงิน เพื่อให้ทับทรวงโยงติดกับผ้าคาดเอว และไม่หลุดจากชุดคลุม ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
เสื้อคลุมยาวใต้ชุดคลุม
22 เขาเย็บเสื้อคลุมยาวจากผ้าทอสีน้ำเงินสำหรับสวมใต้ชุดคลุม 23 ซึ่งเป็นเสื้อสวมหัว ขลิบรอบคอเสื้อด้วยผ้าทอเช่นเดียวกับเสื้อสวมชั้นใน เพื่อกันการขาดรุ่ย 24 พวกเขาปักรูปลูกทับทิมที่ชายเสื้อคลุมโดยรอบด้วยด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด และผ้าป่านทอเนื้อดี 25 พวกเขาตีลูกพรวนด้วยทองคำบริสุทธิ์ ติดไว้ระหว่างลูกทับทิมที่อยู่โดยรอบชายเสื้อคลุม 26 ติดลูกพรวน 1 ลูกสลับกันไปกับลูกทับทิม 1 ลูกรอบๆ ชายเสื้อคลุมเวลาปฏิบัติงานของปุโรหิต ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
27 พวกเขาเย็บเสื้อยาวชั้นในด้วยผ้าป่านทอเนื้อดีสำหรับอาโรนและบรรดาบุตรของเขาด้วย 28 รวมถึงผ้าโพกศีรษะที่เย็บด้วยผ้าป่านเนื้อดี และผ้าพันหน้าผากด้วยผ้าป่านเนื้อดี กางเกงชั้นในเย็บด้วยผ้าป่านทอเนื้อดี 29 ผ้าคาดเอวก็เย็บด้วยผ้าป่านทอเนื้อดี และด้ายทอขนแกะย้อมสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสด ปักลวดลายดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
30 แล้วเขาเหล่านั้นใช้ทองคำบริสุทธิ์ตีเป็นแผ่นสำหรับปิดบนมงกุฎบริสุทธิ์ และสลักด้วยคำว่า “บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า” ดังเช่นสลักตราประทับ 31 และผูกสายเกลียวสีน้ำเงินที่แผ่นทองคำ และติดไว้ที่ผ้าโพกศีรษะ ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส
สรุปผลงานเสร็จตามคำบัญชา
32 งานทั้งหมดเกี่ยวกับการสร้างกระโจมที่พำนักคือกระโจมที่นัดหมายก็แล้วเสร็จ ประชาชนชาวอิสราเอลได้กระทำทุกสิ่งดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส คือพวกเขาได้กระทำตามนั้น 33 หลังจากนั้นเขาทั้งหลายนำกระโจมที่พำนักมามอบไว้กับโมเสส รวมทั้งกระโจมและเครื่องใช้ประกอบทั้งหมด ขอเกี่ยว กรอบ คาน เสาหลัก และฐานรองรับ 34 ที่คลุมกระโจมหนังแกะตัวผู้ย้อมแดง และอีกผืนเป็นหนังปลาโลมา และม่านกั้น 35 หีบพันธสัญญากับคานหาม และฝาหีบแห่งการชดใช้บาป 36 โต๊ะกับเครื่องตั้งโต๊ะทุกชิ้น และขนมปังอันบริสุทธิ์ 37 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์ พร้อมกับดวงประทีปทั้งชุดและภาชนะทุกชิ้น อีกทั้งน้ำมันสำหรับจุดดวงประทีป 38 แท่นทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอม และม่านบังตาสำหรับประตูที่ทางเข้ากระโจมที่พำนัก 39 แท่นบูชาที่เป็นทองสัมฤทธิ์กับตะแกรงทองสัมฤทธิ์ คานหาม และเครื่องใช้ประกอบทุกชิ้น อ่างน้ำพร้อมฐาน 40 ผ้าแขวนที่ลาน เสาหลักและฐานรองรับ และม่านบังตาสำหรับประตูทางเข้าลาน เชือก และหมุดยึดลาน และเครื่องใช้ประกอบทั้งหมดสำหรับงานรับใช้ที่กระโจมที่พำนักคือกระโจมที่นัดหมาย 41 เครื่องแต่งกายตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต เพื่อปฏิบัติงานในสถานที่บริสุทธิ์ เครื่องแต่งกายอันบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายของบรรดาบุตรของเขาเพื่อปฏิบัติงานของปุโรหิต 42 ประชาชนชาวอิสราเอลได้กระทำทุกสิ่งดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสส 43 และโมเสสได้เห็นงานทั้งหมด ดูเถิด พวกเขาทำจนแล้วเสร็จดังที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาไว้ คือพวกเขากระทำตามนั้น ครั้นแล้วโมเสสก็ให้พรแก่พวกเขา
พระเยซูถูกจับกุม
18 เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยสาวกได้เดินข้ามซอกหุบเขาขิดโรน เข้าไปยังสวนแห่งหนึ่ง 2 ยูดาสผู้กำลังจะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้น เพราะพระเยซูเคยไปพบปะกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่นบ่อยครั้ง 3 ยูดาสจึงพาทหารในกองกลุ่มหนึ่งกับพวกเจ้าหน้าที่จากบรรดามหาปุโรหิตและฟาริสีไปที่นั่น ต่างก็ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย 4 พระเยซูทราบดีถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงก้าวออกไปถามพวกเขาว่า “ท่านตามหาใคร” 5 พวกเขาตอบว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” พระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น”[a] และยูดาสผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย 6 เมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น” พวกเขาก็ถอยหลังกลับไปและล้มลงที่พื้น 7 พระองค์จึงถามพวกเขาอีกว่า “ท่านตามหาใคร” เขาพูดว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” 8 พระเยซูตอบว่า “เราบอกแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเรา ก็จงปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเถิด” 9 เพื่อจะได้เป็นไปตามคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า “ในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ให้สักคนเดียวหลงหายเลย”[b] 10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสชื่อมัลคัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของหัวหน้ามหาปุโรหิต และตัดหูขวาของเขาขาด 11 พระเยซูกล่าวกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราควรจะต้องดื่มจากถ้วยซึ่งพระบิดาได้ให้แก่เรามิใช่หรือ”
12 แล้วเหล่าทหารในกองกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งผู้บังคับกองพันกับพวกเจ้าหน้าที่ของชาวยิวจึงจับกุมและมัดพระเยซูไว้ 13 แรกทีเดียวพวกเขานำพระองค์ไปหาอันนาส ซึ่งเป็นพ่อตาของคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิตในปีนั้น 14 คายาฟาสเป็นคนแนะนำพวกชาวยิวว่า ดีแล้วที่คนหนึ่งจะตายแทนคนทั้งปวง
เปโตรปฏิเสธครั้งแรก
15 ซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนกำลังตามพระเยซูไป สาวกคนนั้นรู้จักกับหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้เข้าไปกับพระเยซูถึงลานบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ฉะนั้นสาวกคนที่รู้จักหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้ออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูและนำเปโตรเข้ามา 17 ทาสรับใช้หญิงที่เฝ้าประตูจึงพูดกับเปโตรว่า “ท่านไม่ใช่สาวกอีกคนของชายผู้นี้ใช่ไหม” เขาพูดว่า “เราไม่ได้เป็น” 18 ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกทาสรับใช้และเจ้าหน้าที่กำลังยืนผิงไฟซึ่งก่อจากถ่าน เปโตรเองก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซู
19 หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับบรรดาสาวกและการสั่งสอนของพระองค์ 20 พระเยซูตอบว่า “เราได้พูดอย่างเปิดเผยต่อโลก เราสั่งสอนอยู่เสมอในศาลาที่ประชุมและในพระวิหารที่พวกชาวยิวมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดในที่ลับ 21 ทำไมท่านจึงถามเรา จงถามพวกที่ได้ยินเถิดว่าเราพูดอะไรกับเขา เพราะพวกเขารู้ว่าเราได้พูดอะไรไป” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตบหน้าพระเยซูแล้วพูดว่า “ท่านตอบหัวหน้ามหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ” 23 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงกล่าวหาเถิดว่าผิดอย่างไร แต่ถ้าถูกต้องแล้ว ท่านมาตบเราทำไม” 24 อันนาสจึงมอบพระองค์ซึ่งถูกมัดอยู่ให้กับคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิต
เปโตรปฏิเสธครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3
25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ท่านไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสาวกของเขาด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “เราไม่ได้เป็น” 26 ทาสรับใช้คนหนึ่งของหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรตัดหูขาดก็พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเห็นท่านในสวนกับเขามิใช่หรือ” 27 เปโตรจึงปฏิเสธอีก และทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขัน
ปีลาตสอบสวนพระเยซู
28 เขาเหล่านั้นก็พาพระเยซูจากคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าราชการโรมันในตอนเช้าตรู่ แต่ไม่ได้เข้าไปในวังเพื่อไม่ให้เป็นมลทิน และจะได้รับประทานในเทศกาลปัสกาได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ชายผู้นี้ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาอะไร” 30 พวกเขาตอบว่า “ถ้าชายผู้นี้ไม่กระทำความชั่ว พวกเราก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน” 31 ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาตัวเขาไปกล่าวโทษตามกฎของท่านเองเถิด” บรรดาชาวยิวพูดกับเขาว่า “พวกเราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” 32 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่พระเยซูได้กล่าวไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะสิ้นชีวิตอย่างไร
33 ปีลาตจึงเข้าไปในวังอีกและเรียกพระเยซูมาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” 34 พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดเกี่ยวกับเราตามความคิดของท่านเอง หรือเพราะคนอื่นๆ บอกท่าน” 35 ปีลาตตอบว่า “เราเป็นคนยิวหรือ ชนชาติของท่านและเหล่ามหาปุโรหิตได้มอบตัวท่านไว้กับเรา ท่านได้กระทำอะไรไปบ้าง” 36 พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้แล้ว บรรดาผู้รับใช้ของเราก็จะต่อสู้เพื่อไม่ให้เราถูกมอบตัวไว้กับพวกชาวยิว แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ อาณาจักรของเราไม่ได้อยู่ที่นี่” 37 ดังนั้นปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็คือกษัตริย์น่ะสิ” พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้วว่าเราคือกษัตริย์ และด้วยเหตุนี้เราจึงเกิดมา และเราจึงมาในโลกเพื่อยืนยันถึงความจริง ทุกคนที่มาจากความจริงฟังเสียงของเรา”
38 ปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร” และเมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ออกไปหาชาวยิวอีก และพูดว่า “เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด 39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คือให้เราปลดปล่อยใครสักคนให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปลดปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวให้แก่ท่านไหม” 40 เขาเหล่านั้นจึงร้องขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่ชายคนนี้ ควรเป็นบารับบัส” แต่บารับบัสที่ว่านั้นเป็นโจร
15 คำตอบที่สุภาพอ่อนโยนช่วยให้พ้นจากความขุ่นเคือง
ในขณะที่คำโต้แย้งแข็งกร้าวจะทำให้เกิดความโกรธ
2 สิ่งที่บรรดาผู้มีสติปัญญาพูดเป็นความรู้
แต่ปากของคนโง่ส่งให้ความโง่พวยพุ่งออกมา
3 ตาของพระผู้เป็นเจ้ามองเห็นทุกหนทุกแห่ง
พระองค์เฝ้าดูทั้งบรรดาคนชั่วและคนดี
4 ลิ้นที่ทำการบำบัดคือต้นไม้แห่งชีวิต
แต่ลิ้นที่ลวงหลอกทำให้วิญญาณปวดร้าว
5 คนโง่ไม่ยอมรับระเบียบวินัยจากบิดา
แต่ผู้ที่รับคำตักเตือนเป็นคนฉลาดรอบคอบ
6 ผู้มีความชอบธรรมมีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ในบ้าน
แต่สิ่งที่คนชั่วร้ายได้รับคือความลำบาก
7 ปากของผู้มีสติปัญญาป่าวประกาศความรู้
แต่ใจของคนโง่ไม่เป็นเช่นนั้น
8 เครื่องสักการะของคนชั่วร้ายเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่คำอธิษฐานจากบรรดาผู้มีความชอบธรรมเป็นที่โปรดปรานของพระองค์
9 วิถีทางของคนชั่วเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่พระองค์รักคนที่มุ่งมั่นในความชอบธรรม
10 โทษมหันต์มีไว้สำหรับคนที่หันเหไปจากวิถีทางที่ถูกต้อง
คนที่เกลียดชังการตักเตือนจะวอดวาย
11 แดนคนตายและความวิบัติเปิดชัดแจ้ง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
แล้วใจของมนุษย์เล่า จะเปิดชัดยิ่งกว่าเพียงไร
12 คนช่างเย้ยหยันไม่ชอบคนที่ตักเตือนเขา
เขาจะไม่ไปมาหาสู่กับคนที่มีสติปัญญา
13 ใจที่มีความยินดีส่งผลให้ใบหน้าแจ่มใส
แต่เมื่อใจมีความเศร้า วิญญาณจะมีแต่ความบอบช้ำ
14 ใจของผู้หยั่งรู้แสวงหาความรู้
แต่ปากของคนโง่กินได้แต่ความไร้ปัญญา
15 วันเวลาของผู้มีความทุกข์ย่ำแย่อยู่เสมอ
ในขณะที่ใจร่าเริงก็เสมือนได้อยู่ร่วมในงานเลี้ยงฉลองเรื่อยไป
16 การมีอยู่เพียงน้อยนิดและรู้จักเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้ายังจะดีกว่า
การมีทรัพย์สมบัติมหาศาลแต่อยู่ในความวุ่นวายสับสน
17 อยู่ในที่มีผักรับประทานและมีความรักอยู่ด้วย
ยังดีกว่ามีเนื้อนุ่มๆ รับประทานในที่มีความเกลียดชัง
18 คนอารมณ์ร้ายมักก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท
แต่คนโกรธยากช่วยให้การโต้เถียงผ่อนหนักเป็นเบา
19 ทางของคนเกียจคร้านเหมือนมีรั้วหนามขวางกั้น
แต่ทางของผู้มีความชอบธรรมกลับราบเรียบ
20 ลูกที่มีสติปัญญาทำให้บิดายินดี
แต่คนโง่เง่าดูหมิ่นมารดาของเขา
21 คนสิ้นคิดยินดีกับความโง่ของตน
ส่วนคนที่หยั่งรู้เดินตรงไปข้างหน้า
22 แผนการจะผิดพลาดเมื่อปราศจากคำปรึกษา
เมื่อได้คำปรึกษามากมายแผนการก็สำเร็จลุล่วง
23 คำตอบที่เหมาะสมนำมาซึ่งความยินดี
และคำพูดที่เหมาะตามกาลเทศะก็ช่างวิเศษนัก
24 ผู้มีสติปัญญาย่อมมีวิถีทางแห่งชีวิตที่นำไปสู่เบื้องบน
นำให้เขาพ้นจากแดนคนตายที่เบื้องล่าง
25 พระผู้เป็นเจ้าจะพังบ้านของผู้หยิ่งยโสให้ทลายลง
แต่พระองค์จะก่อตั้งเขตแดนของหญิงม่ายไว้
26 ความคิดชั่วร้ายเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่คำพูดที่น่าฟังช่างบริสุทธิ์
27 คนโลภที่ไม่เป็นธรรมนำความยุ่งยากมาสู่ครอบครัวของตน
แต่คนที่รังเกียจสินบนจะมีชีวิตอยู่รอด
28 ใจของผู้มีความชอบธรรมจะไตร่ตรองก่อนพูด
แต่ปากของคนชั่วร้ายจะพรั่งพรูเรื่องพล่อยๆ ออกมา
29 พระผู้เป็นเจ้าอยู่ห่างจากคนชั่ว
แต่จะได้ยินคำอธิษฐานของบรรดาผู้มีความชอบธรรม
30 ดวงตาเปี่ยมประกายส่งผลให้ผู้ที่สังเกตเห็นมีใจยินดี
ข่าวดีก็ช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี
31 คนที่ฟังคำตักเตือนอันก่อให้เกิดชีวิต
จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้มีสติปัญญา
32 คนที่ละเลยคำสั่งสอนคือผู้ที่ดูหมิ่นตัวเอง
แต่คนที่ฟังคำตักเตือนจะได้มาซึ่งความเข้าใจ
33 ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าเป็นรากฐานของสติปัญญา
และการถ่อมตัวนำมาซึ่งการได้รับเกียรติ
ถ่อมตัวตามอย่างพระคริสต์
2 ฉะนั้น ถ้าท่านมีพลังใจในพระคริสต์ ถ้ามีการปลอบโยนจากความรักของพระองค์ ถ้ามีสามัคคีธรรมของพระวิญญาณ ถ้ามีความอ่อนหวานและความสงสาร 2 ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตวิญญาณและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นหนึ่งเดียวกัน 3 อย่ากระทำสิ่งใดอันเกิดจากความเห็นแก่ตัวหรือคิดยโส แต่จงถ่อมตัว และถือว่าผู้อื่นสำคัญกว่าตนเอง 4 อย่าเพียงแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตนเอง แต่จงคิดถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วย 5 จงให้ความรู้สึกนึกคิดเป็นเช่นนี้ในหมู่ท่าน อย่างที่เป็นในพระเยซูคริสต์ 6 แม้ว่าพระองค์มีสถานภาพเป็นพระเจ้า แต่ไม่ได้ยึดสถานภาพที่เสมอกับพระเจ้าไว้ 7 พระองค์กลับสละทุกสิ่ง โดยรับสภาพเป็นผู้รับใช้ และมาเกิดในลักษณะของมนุษย์ 8 และเมื่อปรากฏให้เห็นเป็นร่างกายอย่างมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ถ่อมพระองค์เอง และยอมเชื่อฟังจนถึงขั้นที่ต้องเสียชีวิต แม้กระทั่งเป็นความตายบนไม้กางเขน 9 ฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ยกพระองค์ขึ้นสู่ที่สูงสุด และมอบพระนามที่เหนือนามอื่นใดแก่พระองค์ 10 เพื่อว่าทุกคนจะได้คุกเข่าลงให้กับพระนามของพระเยซูทั้งในสวรรค์ บนโลก และใต้บาดาล 11 และลิ้นทุกลิ้นยอมสารภาพว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้เป็นเจ้า เพื่อถวายพระบารมีแด่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา
ส่องสกาวดุจดวงดารา
12 ฉะนั้น เพื่อนที่รักทั้งหลาย ตามที่ท่านได้เชื่อฟังมาเสมอแล้วเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่าน และบัดนี้แม้ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย ท่านก็ควรเชื่อฟังมากยิ่งขึ้น ท่านจงประพฤติตนให้ถึงที่สุด เพื่อให้ความรอดพ้นของท่านบริบูรณ์ด้วยความเกรงกลัวและหวาดหวั่น 13 ด้วยว่าพระเจ้าเป็นผู้สำแดงการกระทำในหมู่ท่าน เพื่อให้ท่านยินยอมและดำเนินงานตามจุดประสงค์ของพระองค์
14 จงกระทำทุกสิ่งโดยไม่บ่นหรือโต้เถียง 15 เพื่อท่านจะได้ไม่ถูกตำหนิและจะได้เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นบรรดาบุตรของพระเจ้าที่ปราศจากความมัวหมองท่ามกลางคนในช่วงกาลเวลาที่คดโกงและเสื่อมศีลธรรม ท่านปรากฏในท่ามกลางพวกเขาดุจดวงดาราที่สาดส่องไปในโลก 16 เสนอคำกล่าวแห่งชีวิตให้เขา เพื่อว่าในวันที่พระคริสต์มา ข้าพเจ้าจะได้ภูมิใจว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ 17 ถ้าแม้ว่าโลหิตของข้าพเจ้าถูกเทลงดั่งเครื่องดื่มบูชาบนเครื่องสักการะแห่งความเชื่อของท่าน ข้าพเจ้าก็ชื่นชมและยินดีร่วมกับท่านทุกคน 18 ดังนั้นท่านควรดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับข้าพเจ้าด้วย
ทิโมธีและเอปาโฟรดิทัส
19 หากเป็นด้วยความตั้งใจของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าหวังว่าจะให้ทิโมธีมาหาท่านเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าจะได้มีกำลังใจเมื่อได้รับข่าวที่เกี่ยวกับท่าน 20 ข้าพเจ้าไม่มีใครที่จะเป็นเหมือนทิโมธี คือเขาห่วงใยเรื่องของท่านอย่างแท้จริง 21 ด้วยว่าทุกคนห่วงใยแต่เรื่องของตนเอง แต่ไม่ได้ห่วงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ 22 แต่ท่านก็ทราบแล้วว่า ทิโมธีได้พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าของเขาแล้วว่า เขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในงานด้านข่าวประเสริฐเสมือนบุตรทำงานร่วมกับบิดา 23 ฉะนั้นข้าพเจ้าหวังว่าจะให้เขามาหาท่าน ทันทีที่ข้าพเจ้าทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า 24 และข้าพเจ้าวางใจในพระผู้เป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้าเองจะมาหาท่านในเร็วๆ นี้ด้วย
25 แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจำเป็นที่จะให้เอปาโฟรดิทัสกลับมาหาท่านทั้งหลาย เขาเป็นน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมรบกับข้าพเจ้า เขาเป็นคนที่ท่านส่งมาช่วยรับใช้ข้าพเจ้าในยามขัดสน 26 ด้วยว่าเขาอยากมาหาท่านทั้งหลายมาก อีกทั้งเป็นทุกข์เพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย 27 เขาป่วยหนักจนเกือบจะเสียชีวิต แต่พระเจ้าโปรดเมตตาเขา และอีกทั้งได้โปรดข้าพเจ้าด้วยคือข้าพเจ้าไม่เศร้าใจยิ่งไปกว่านี้ 28 ข้าพเจ้าจึงได้รีบให้เขาไปหาท่าน เพื่อว่าเวลาท่านพบเขาอีกท่านจะได้ยินดี และข้าพเจ้าจะได้เป็นกังวลน้อยลง 29 ฉะนั้นจงต้อนรับเขาดั่งคนของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดียิ่ง และจงนับถือคนอย่างเขาไว้เถิด 30 เพราะเขาเกือบสิ้นชีวิตเพื่องานของพระคริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อทดแทนสิ่งที่ท่านไม่สามารถช่วยข้าพเจ้าได้
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation