Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the CEV. Switch to the CEV to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เลวีนิติ 24:1-25:46

ตะเกียงที่มีขาตั้งกับขนมปังศักดิ์สิทธิ์

(อพย. 27:20-21)

24 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้สั่งประชาชนชาวอิสราเอลให้เอาน้ำมันบริสุทธิ์ที่คั้นจากมะกอก มาใส่พวกตะเกียงเพื่อจุดไฟให้สว่างอยู่เสมอ อาโรนต้องตั้งตะเกียงนั้นไว้ด้านนอกม่านที่กั้นอยู่ตรงหน้าหีบข้อตกลงที่อยู่ในเต็นท์นัดพบ เพื่อให้มันจุดสว่างตั้งแต่เย็นจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นประจำต่อหน้าพระยาห์เวห์ กฎนี้จะใช้ไปตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า อาโรนต้องตั้งตะเกียงบนขาตั้งที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อให้มันจุดสว่างอย่างสม่ำเสมอ

ให้เอาแป้งอย่างดีมาอบเป็นขนมปังสิบสองก้อน โดยใช้แป้งประมาณสี่ลิตรครึ่งต่อขนมปังหนึ่งก้อน ให้วางขนมปังนั้นเป็นสองแถว แถวละหกก้อน บนโต๊ะที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ให้วางกำยาน[a] บริสุทธิ์ไว้ในแต่ละแถว เป็นส่วนที่ใช้เผาแทนขนมปัง กำยานนั้นเป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ จะต้องจัดวางขนมปังพวกนี้ไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์เป็นประจำทุกๆวันหยุดทางศาสนา ชาวอิสราเอลจะจัดหาสิ่งเหล่านี้มาให้ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่พวกเขามีต่อเราตลอดไป ขนมปังนี้จะเป็นของอาโรนและพวกลูกชายของเขา พวกเขาจะกินมันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะขนมปังนี้เป็นของเขา เป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จากพวกของขวัญที่นำมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ ขนมปังนี้เป็นส่วนแบ่งของอาโรนตลอดไป”

คนที่สาปแช่งพระเจ้า

10 ชายคนหนึ่งมีแม่เป็นชาวอิสราเอล มีพ่อเป็นชาวอียิปต์ วันหนึ่งเขาได้ออกไปท่ามกลางคนอิสราเอล แล้วเกิดมีการต่อสู้กันขึ้นระหว่างลูกของหญิงชาวอิสราเอลคนนี้ กับชาวอิสราเอลอีกคนหนึ่งในค่ายนั้น 11 ลูกของหญิงอิสราเอลได้พูดสาปแช่งชื่อของพระยาห์เวห์ ดังนั้น ประชาชนจึงนำตัวเขาไปหาโมเสส แม่ของชายคนนี้ชื่อเชโลมิท นางเป็นลูกสาวของดิบรี มาจากเผ่าดาน 12 ชายคนนี้ถูกควบคุมตัวไว้ จนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าพระยาห์เวห์ต้องการให้ทำยังไงกับเขา

13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 14 “นำตัวชายคนที่พูดสาปแช่งเรา ออกไปนอกค่าย ให้คนที่ได้ยินเขาพูดวางมือลงบนหัว[b]ของชายคนนั้น แล้วให้คนในชุมชนเอาหินขว้างเขาให้ตาย 15 แล้วให้บอกประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘ถ้าใครสาปแช่งพระเจ้าของเขา เขาต้องถูกทำโทษสำหรับบาปที่เขาทำนั้น 16 และถ้าใครพูดดูหมิ่นเหยียดหยามชื่อของพระยาห์เวห์ คนๆนั้นจะต้องถูกฆ่า คนทั้งชุมชนทั้งหมดจะต้องเอาหินขว้างเขาให้ตาย ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนอิสราเอล จะต้องถูกฆ่าเหมือนกันหมด ถ้าเขาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามชื่อของพระยาห์เวห์

17 ถ้าใครฆ่าคนตาย เขาต้องถูกฆ่าด้วย 18 ใครที่ฆ่าสัตว์ของคนอื่น เขาต้องชดใช้มัน ชีวิตต่อชีวิต 19 และเมื่อใครทำให้เพื่อนบ้านบาดเจ็บไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ก็ให้ทำกับเขาอย่างนั้นด้วย 20 กระดูกหักต่อกระดูกหัก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใครที่ทำคนอื่นบาดเจ็บ ต้องบาดเจ็บในแบบเดียวกันด้วย 21 ใครที่ฆ่าสัตว์ต้องชดใช้มันคืน และใครที่ฆ่าคน ต้องถูกฆ่าเหมือนกัน

22 จะใช้กฎเดียวกันหมด สำหรับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือประชาชนของเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’”

23 โมเสสจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเขาจึงนำตัวชายคนที่สาปแช่งคนนั้นออกไปนอกค่าย และเอาหินขว้างเขาจนตาย ชาวอิสราเอลได้ทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้

แผ่นดินหยุดพักจากการเพาะปลูก

(ฉธบ. 15:1-11)

25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสบนภูเขาซีนายว่า “ให้บอกประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่เรากำลังยกให้เจ้านี้ เจ้าต้องปล่อยให้ผืนดินได้พักผ่อนเจ็ดปีครั้ง เพื่อเป็นเกียรติกับพระยาห์เวห์ ในเวลาหกปีเจ้าจะปลูกพืชในทุ่งนาได้ หกปีนี้เจ้าอาจตัดแต่งต้นองุ่นของเจ้า และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แต่ในปีที่เจ็ด จะเป็นเวลาพิเศษ สำหรับให้แผ่นดินหยุดพักอย่างเต็มที่ เป็นการหยุดพักเพื่อให้เกียรติกับพระยาห์เวห์ เจ้าต้องไม่หว่านพืชในทุ่ง เจ้าต้องไม่ตัดแต่งต้นองุ่นของเจ้า เจ้าต้องไม่เก็บเกี่ยวพืชผลที่เกิดขึ้นมาเอง และเจ้าต้องไม่เก็บองุ่นจากต้นองุ่นที่ไม่ได้ตัดแต่ง มันจะเป็นปีที่แผ่นดินจะได้หยุดพักอย่างเต็มที่

แต่ในปีแห่งการหยุดพักนี้ ถ้าผืนดินนั้นให้ผลผลิตอะไรออกมาก็ตาม สิ่งนั้นก็จะเป็นของพวกเจ้าเอาไว้กิน สำหรับตัวเจ้าเอง คนรับใช้ชายหญิงของเจ้า คนงานที่เจ้าจ้างมา และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้า รวมทั้งวัวของเจ้าและสัตว์ป่าที่อยู่บนที่ดินของเจ้า ทุกอย่างที่เป็นผลผลิตของแผ่นดินนั้น ก็เอามาเป็นอาหารได้

ปีแห่งการปลดปล่อย

ให้นับไปเจ็ดปีคือปีแห่งการหยุดพัก แล้วให้นับปีแห่งการหยุดพักไปเจ็ดครั้ง คือเจ็ดคูณเจ็ด รวมเป็นเวลาสี่สิบเก้าปี แล้วเจ้าต้องเป่าแตรที่ทำจากเขาแกะให้ดังในวันที่สิบของเดือนเจ็ด ซึ่งเป็นวันชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ เจ้าต้องเป่าแตรที่ทำจากเขาแกะให้ดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน 10 เจ้าต้องอุทิศปีที่ห้าสิบให้กับพระเจ้า และเจ้าต้องประกาศอิสรภาพในแผ่นดินให้กับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น เจ้าต้องเรียกปีนี้ว่า ปีแห่งการปลดปล่อย ทุกคนจะกลับสู่ที่ดินของตน[c] และทุกคนจะกลับไปยังตระกูลของตน 11 ในปีที่ห้าสิบจะเป็นปีแห่งการปลดปล่อยสำหรับเจ้า เจ้าต้องไม่เพาะปลูกและไม่เก็บเกี่ยวสิ่งที่เติบโตเองตามธรรมชาติ และเจ้าต้องไม่เก็บองุ่นจากต้นองุ่นที่ยังไม่ได้ตัดแต่ง 12 เพราะมันเป็นปีแห่งการปลดปล่อย เป็นปีที่อุทิศให้กับพวกเจ้า เจ้าจะกินได้แต่ผลผลิตที่เกิดขึ้นมาเองจากทุ่งนานั้น 13 ในปีแห่งการปลดปล่อย ทุกคนจะกลับไปยังที่ดินของตน

14 ดังนั้นเมื่อเจ้าขายที่ดินให้เพื่อนบ้าน หรือซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้านมา ก็อย่าโกงกัน 15 ถ้าเจ้าต้องการซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้าน ก็ให้นับดูว่าผ่านปีแห่งการปลดปล่อยครั้งหลังสุดนี้มากี่ปีแล้ว และเพื่อนบ้านก็ต้องดูว่าจะเพาะปลูกได้อีกกี่ปี ก่อนจะถึงปีแห่งการปลดปล่อยครั้งต่อไป แล้วก็ซื้อขายกันตามจำนวนปีที่เหลือนั้น 16 ยิ่งเหลือเวลาอีกหลายปี ราคาของที่ดินก็จะยิ่งสูงขึ้น ยิ่งเหลือเวลาน้อย ราคาก็จะยิ่งถูกลง เพราะเขากำลังขายจำนวนปีที่จะใช้ปลูกพืชผลได้ 17 อย่าได้โกงกัน แต่ให้ยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

18 เจ้าต้องเชื่อฟังกฎเหล่านั้นของเรา และรักษาระเบียบต่างๆของเรา และทำตามพวกมัน เพื่อพวกเจ้าจะได้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินนี้ 19 แล้วแผ่นดินจะให้ผลผลิตของมัน และเจ้าจะมีกินอย่างเหลือเฟือ และจะอยู่กันอย่างปลอดภัยในแผ่นดินนั้น

20 ถ้าเจ้าพูดว่า “แล้วเราจะเอาอะไรกินกันในปีที่เจ็ด ถ้าเราไม่เพาะปลูกและไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตในที่ดินนั้น” 21 เราจะอวยพรเจ้าในปีที่หก แผ่นดินจะให้ผลผลิตกับเจ้าพอสำหรับสามปี 22 เมื่อเจ้าเริ่มเพาะปลูกในปีที่แปด เจ้าจะยังสามารถกินผลผลิตเก่าที่เก็บไว้ได้ จนกว่าจะถึงปีที่เก้าซึ่งผลผลิตใหม่จะเริ่มออกมา 23 เจ้าจะขายที่ดินกันอย่างถาวรไม่ได้ เพราะแผ่นดินนี้เป็นของเรา เจ้าเป็นเพียงคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ และเป็นคนเช่าที่อาศัยอยู่ร่วมกับเรา 24 ทั่วทั้งประเทศที่พวกเจ้าเป็นเจ้าของอยู่ พวกเจ้าต้องยินยอมให้คนที่ขายที่ดินนั้นให้กับเจ้า ไถ่ที่ดินนั้นกลับคืนไปได้ 25 ถ้าญาติของเจ้ายากจนและขายที่ดินบางส่วนไป ญาติสนิทของเขาต้องมาไถ่ที่ผืนนั้นของญาติเขากลับคืน 26 ถ้าเขาไม่มีญาติสนิทที่จะมาไถ่คืน แต่ตัวเขาเองหาเงินมาได้เพียงพอที่จะไถ่ที่ดินของเขาคืน 27 เขาต้องนับดูว่าเขาขายที่ดินไปกี่ปีแล้ว เขาก็จ่ายเงินคืนให้กับผู้ซื้อในส่วนที่ผู้ซื้อจ่ายเกินมา แล้วเขาก็จะได้ที่ดินกลับคืน 28 แต่ถ้าเขาไม่สามารถซื้อกลับคืนได้ ที่ดินผืนนั้นจะคงอยู่กับคนที่ซื้อมันไปจากเขา จนกระทั่งถึงปีแห่งการปลดปล่อย ในปีแห่งการปลดปล่อยนี้ ที่ดินก็จะได้รับการปลดปล่อย และเจ้าของที่ดินดั้งเดิมจะได้ที่ดินของเขากลับคืนไป 29 ถ้าคนหนึ่งขายบ้านที่เขาอยู่อาศัยภายในเขตกำแพงเมือง เขาสามารถไถ่คืนภายในเวลาหนึ่งปีหลังจากที่เขาขายมัน สิทธิในการไถ่นี้จะถูกจำกัดเพียงหนึ่งปีเท่านั้น 30 ถ้าเขายังไม่ไถ่คืนหลังจากหนึ่งปีเต็ม บ้านที่อยู่ในเขตกำแพงเมืองหลังนั้น จะตกเป็นของผู้ซื้อและลูกหลานของเขาอย่างถาวร และจะไม่ได้รับการปลดปล่อยในปีแห่งการปลดปล่อยด้วย 31 แต่บ้านในหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบ จะใช้กฎเดียวกับที่ดิน คือคนขายสามารถไถ่คืนได้ และมันก็จะได้รับการปลดปล่อยในปีแห่งการปลดปล่อย

32 แต่ถ้าเป็นเมืองของชาวเลวี ชาวเลวีมีสิทธิไถ่บ้านของพวกเขาที่อยู่ในเมืองกลับคืนได้ตลอดเวลา 33 แต่ถ้าชาวเลวีไม่ได้ไถ่บ้านของเขาคืน บ้านที่เขาขายไปนั้นก็จะกลับมาเป็นของเขา ในปีแห่งการปลดปล่อย เพราะบ้านของพวกเลวีที่อยู่ในเมืองนั้น เป็นสมบัติถาวรของพวกเขาท่ามกลางคนอิสราเอล 34 แต่ทุ่งหญ้าที่อยู่รอบๆเมืองของชาวเลวีนั้น จะขายไม่ได้ เพราะมันจะเป็นสมบัติของพวกเขาตลอดไป

35 ถ้าพี่น้องของเจ้าเกิดยากจนขึ้นมา และเขาไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ ก็ให้ช่วยเหลือเขา เหมือนกับที่เจ้าช่วยเหลือชาวต่างชาติหรือคนผ่านทาง เพื่อเขาจะได้อยู่ต่อไปท่ามกลางเจ้า 36 เจ้าต้องไม่คิดดอกเบี้ยทบต้นจากเขา แต่ให้ยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เพื่อพี่น้องของเจ้าจะได้อยู่กับเจ้าต่อไป 37 เจ้าต้องไม่คิดดอกเบี้ยจากเงินที่เจ้าให้เขากู้ยืม และไม่คิดดอกเบี้ยทบต้นจากอาหารที่เจ้าให้เขากิน 38 เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ที่นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อยกแผ่นดินคานาอันนี้ให้กับเจ้า และเพื่อจะได้เป็นพระเจ้าของเจ้า

39 ถ้าพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจน และขายตัวเองให้กับเจ้า เจ้าต้องไม่ให้เขาทำงานของทาส 40 เขาจะเป็นเหมือนคนงานรับจ้างหรือคนงานผู้อยู่อาศัยกับเจ้า เขาจะรับใช้เจ้าจนถึงปีแห่งการปลดปล่อย 41 แล้วเขาและลูกๆของเขาจะไปจากเจ้า และกลับไปยังตระกูลของเขาและที่ดินของบรรพบุรุษเขา 42 เพราะพวกเขาคือทาสของเรา เราได้นำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาต้องไม่ถูกขายเป็นทาส 43 เจ้าต้องไม่ปกครองเขาอย่างโหดร้ายทารุณ แต่เจ้าต้องยำเกรงพระเจ้าของเจ้า

44 ทาสชายและทาสหญิงของเจ้า ต้องมาจากชนชาติที่อยู่รอบๆเจ้า เจ้าต้องซื้อทาสชายและทาสหญิงจากพวกเขา 45 เจ้าอาจซื้อทาสจากลูกๆของพวกชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้า หรือจากครอบครัวของเขาที่อยู่กับเจ้าและเกิดบนแผ่นดินของเจ้า พวกนี้จะกลายเป็นสมบัติของเจ้า 46 และเมื่อเจ้าตาย คนเหล่านี้ก็จะเป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลานของเจ้าตลอดไป คนพวกนั้นเจ้าสามารถเอามาเป็นทาสได้ แต่เจ้าต้องไม่ปกครองพี่น้องร่วมชาติของเจ้า ที่เป็นชาวอิสราเอลอย่างโหดร้ายทารุณ

มาระโก 10:13-31

พระเยซูทรงอวยพรเด็กเล็กๆ

(มธ. 19:13-15; ลก. 18:15-17)

13 ผู้คนต่างพาเด็กเล็กๆมาให้พระองค์แตะต้องตัว แต่พวกศิษย์ได้ต่อว่าพวกเขาไป 14 เมื่อพระองค์เห็นก็ไม่พอใจ จึงพูดกับพวกศิษย์ว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้ 15 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคนไหนไม่ยอมรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับที่เด็กเล็กๆพวกนี้ยอมรับ คนนั้นจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ” 16 แล้วพระองค์ก็โอบเด็กๆไว้ในอ้อมแขนและวางมืออวยพรให้กับพวกเขา

เศรษฐีหนุ่ม

(มธ. 19:16-30; ลก. 18:18-30)

17 ในขณะที่พระองค์เริ่มออกเดินทางนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วถามว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปครับ”

18 พระเยซูตอบว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น 19 คุณก็รู้กฎปฏิบัติดีอยู่แล้วนี่ ที่ว่าอย่าฆ่าคน อย่ามีชู้ อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโกง และให้เคารพนับถือพ่อแม่”[a]

20 คนหนุ่มคนนั้นก็ว่า “อาจารย์ครับ ผมรักษากฎทุกข้อนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”

21 พระเยซูมองเขาด้วยความรักและพูดว่า “แต่คุณยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือให้ไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมี แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน คุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา”

22 เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนี้ เขาก็เดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาร่ำรวยมาก

23 พระเยซูมองไปรอบๆและพูดกับพวกศิษย์ว่า “มันยากมากที่คนรวยจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”

24 พวกศิษย์ต่างก็งงที่ได้ยินพระองค์พูดอย่างนั้น แต่พระเยซูพูดต่อว่า “ลูกๆเอ๋ยรู้ไหมว่า อาณาจักรของพระเจ้านี่เข้ายากจริงๆ 25 จะให้อูฐลอดรูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่าที่จะให้คนรวยเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 พวกศิษย์ก็ยิ่งงงกันไปใหญ่และพูดกันเองว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะไปรอดได้”

27 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วพูดว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้เลย แต่สำหรับพระเจ้าก็เป็นไปได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”

28 เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิครับ พวกเราได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาติดตามอาจารย์”

29 พระเยซูพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ได้สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆหรือไร่นาเพื่อมาติดตามเราและข่าวดีของเรา 30 คนๆนั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนเป็นร้อยเท่าของสิ่งที่เขามีในโลกนี้ ทั้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆและไร่นา รวมถึงว่าพวกเขาจะต้องถูกกดขี่ข่มเหงด้วย แต่พวกเขาจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปในโลกหน้าที่จะมาถึง 31 คนที่เป็นใหญ่เป็นโตที่สุดในตอนนี้จะกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด ส่วนคนที่ต่ำต้อยที่สุดในตอนนี้จะได้กลายเป็นใหญ่เป็นโตที่สุด”

สดุดี 44:9-26

แต่พระองค์ได้ทอดทิ้งพวกเราทำให้พวกเราอับอาย
    และไม่ยอมออกไปสนามรบด้วยกันกับพวกเรา
10 พระองค์ทำให้เราต้องถอยหนีจากศัตรู
    พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่เกลียดเราปล้นสะดมของเราไป
11 พระองค์ปล่อยให้พวกเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
    พระองค์ทำให้พวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติอื่นๆ
12 พระองค์ขายประชาชนของพระองค์ให้ไปเป็นทาส
    ขายไปถูกๆอย่างกับให้เปล่า พระองค์ไม่ต่อรองราคาเสียด้วยซ้ำ

13 พวกเพื่อนบ้านของพวกเรา เห็นสิ่งที่พระองค์ทำ
    แล้วตอนนี้ พวกเขาพากันเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะพวกเรา
14 พระองค์ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลกในท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านของเรา
    พวกเขาพากันหัวเราะเยาะและส่ายหัวใส่เรา
15 ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายทั้งวัน
    ความอัปยศอดสูคลุมหน้าของข้าพเจ้าไว้
16 ข้าพเจ้าซ่อนอยู่ในความอับอาย เพราะเสียงเยาะเย้ย
    และคำดูหมิ่นของพวกศัตรู ที่เฝ้ารอคอยแก้แค้นข้าพเจ้า

17 ข้าแต่พระเจ้า สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับพวกเรา
    ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้ลืมพระองค์หรือทำผิดต่อสัญญาของพระองค์
18 จิตใจของพวกเราไม่ได้หันไปจากพระองค์
    และย่างเท้าของเราไม่ได้หันเหไปจากทางของพระองค์
19 แต่พระองค์กลับบดขยี้เราในถิ่นของฝูงหมาป่า
    และปกคลุมเราด้วยความมืดมิด

20 ถ้าพวกเราลืมชื่อพระเจ้าของพวกเรา
    แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานต่อพระอื่น
21 พระเจ้าจะไม่รู้เชียวหรือ
    เพราะพระองค์หยั่งรู้ถึงความลับในจิตใจ
22 แต่เพราะเราเป็นของพระองค์ พวกเราถูกฆ่าไม่หยุด
    และเพราะเราเป็นของพระองค์ คนมองว่าเราเป็นเหมือนแกะที่จะถูกนำไปฆ่า
23 ตื่นเถิด องค์เจ้าชีวิต พระองค์นอนหลับอยู่ได้ยังไง
    ลุกขึ้นเถิด อย่าได้ละทิ้งพวกเราตลอดไป
24 ทำไมพระองค์ถึงได้เมินหน้าไปจากเรา
    ทำไมพระองค์ถึงได้เมินเฉยต่อความทุกข์และการกดขี่ข่มเหงที่พวกเราได้รับ
25 พวกเราจมดินแล้ว
    ท้องแนบไปกับพื้นแล้ว
26 ช่วยลุกขึ้นและรีบมาช่วยเหลือพวกเรา
    ช่วยกู้พวกเราด้วยเถิดเพื่อแสดงความรักที่มั่นคงของพระองค์

สุภาษิต 10:20-21

20 ลิ้นของคนที่ทำตามใจพระเจ้า ก็เปรียบเหมือนเงินบริสุทธิ์
    แต่จิตใจของคนชั่วนั้นมีค่าเพียงน้อยนิด
21 ริมฝีปากของคนที่ทำตามใจพระเจ้าหล่อเลี้ยงคนมากมาย
    แต่คนโง่ตายเพราะขาดความเข้าใจ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International