The Daily Audio Bible
Today's audio is from the NIV. Switch to the NIV to read along with the audio.
24 โมเสสออกไปบอกกับประชาชนว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร โมเสสได้รวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาเจ็ดสิบคน โมเสสให้พวกเขามายืนอยู่รอบๆเต็นท์ 25 แล้วพระยาห์เวห์ได้ลงมาในเมฆ และพูดกับโมเสส พระองค์เอาวิญญาณบางส่วนที่อยู่กับโมเสส ไปใส่ไว้ในผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณเข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี[a] แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้นอีกเลย
26 ยังมีผู้อาวุโสสองคนที่ไม่ได้มา แต่ยังคงอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด พระวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็อยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ไปที่เต็นท์ ดังนั้น พวกเขาจึงตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดีอยู่ในค่าย 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาบอกกับโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังตะโกนพระคำด้วยความยินดีอยู่ในค่าย”
28 โยชูวาลูกชายของนูน พูดกับโมเสสว่า “โมเสส นายท่าน หยุดพวกเขาเถิด” โยชูวา เป็นผู้ช่วยของโมเสสตั้งแต่โยชูวายังเป็นหนุ่ม[b]
29 แต่โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “อิจฉาแทนเราหรือ เราอยากจะให้คนของพระยาห์เวห์ทุกคนตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี เราอยากให้พระยาห์เวห์ใส่พระวิญญาณลงในตัวพวกเขา” 30 แล้วโมเสสและผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับเข้าค่าย
นกคุ่มมาถึง
31 มีลมพัดมาจากพระยาห์เวห์ และได้พาเอานกคุ่มมาจากทะเลมาตกกระจัดกระจายอยู่รอบค่าย มีนกคุ่มมากมายทั่วทุกทิศ มีระยะทางยาวเท่ากับคนเดินหนึ่งวัน และมันตกทับถมกันสูงถึงสองศอก[c] 32 ผู้คนต่างออกไปเก็บนกคุ่มพวกนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไปจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่งเต็มๆ พวกเขาเก็บได้อย่างน้อยคนละสองพันสองร้อยลิตร[d] พวกเขาตากนกคุ่มไปทั่วค่าย
33 ในระหว่างที่เนื้อยังอยู่ระหว่างฟัน ยังไม่ทันกัดกินกันเลย พระยาห์เวห์ก็โกรธพวกเขา พระองค์ทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดอย่างร้ายแรง 34 พวกเขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ขิบโรท-หัทธาอาวาห์[e] เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังศพของคนที่กระหายอยากกินเนื้อสัตว์
35 ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรท-หัทธาอาวาห์ไปถึงฮาเซโรท และพวกเขาก็พักอยู่ที่นั่น
มิเรียมและอาโรนบ่นเกี่ยวกับโมเสส
12 มิเรียมและอาโรนพูดต่อต้านโมเสส เพราะผู้หญิงชาวเอธิโอเปีย ที่โมเสสแต่งงานด้วย และโมเสสก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวเอธิโอเปียนั้นจริง 2 พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดผ่านโมเสสคนเดียวหรือยังไง พระองค์พูดผ่านเราด้วยไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์ได้ยินที่เขาพูด 3 โมเสสเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก ถ่อมกว่าใครๆในโลกนี้ 4 ในทันใดนั้นเอง พระยาห์เวห์พูดกับโมเสส อาโรนและมิเรียมว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน ออกมาที่เต็นท์นัดพบ”
พวกเขาทั้งสามคนได้ออกมาที่เต็นท์ 5 พระยาห์เวห์ลงมาในเสาเมฆ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ร้องเรียกว่า “อาโรนและมิเรียม” ทั้งสองคนออกมา 6 พระองค์พูดว่า “ฟังเราให้ดี ตอนที่มีผู้พูดแทนพระเจ้าท่ามกลางเจ้า เรา ยาห์เวห์ จะแสดงตัวของเราให้กับเขาเห็นในนิมิต เราจะพูดกับเขาในความฝัน 7 แต่สำหรับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราฝากทั้งครัวเรือนของเราไว้กับเขา 8 เวลาเราพูดกับเขา เราได้พูดกับเขาต่อหน้า และบอกเขาชัดเจนถึงสิ่งที่เราจะให้เขาทำ ไม่ต้องใช้เรื่องเล่าต่างๆที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ และเขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”
9 พระยาห์เวห์โกรธพวกเขา และพระองค์ก็จากไป 10 เมื่อเมฆลอยไปจากเต็นท์ ก็มีเกล็ดขาวๆเหมือนหิมะโผล่ขึ้นมาตามผิวหนังของมิเรียม เมื่ออาโรนหันมาที่มิเรียม ก็เห็นเกล็ดสีขาวบนตัวนาง
11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของเรา อย่าได้ลงโทษพวกเราเลย ที่เราได้ทำบาปโง่ๆลงไป 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กที่ตายตอนคลอดแล้วเนื้อแหว่งไปครึ่งหนึ่งเลย”
13 โมเสสร้องขอต่อพระยาห์เวห์ “พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยรักษานางด้วยเถิด”
14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถุยน้ำลายใส่หน้านาง นางจะรู้สึกอับอายไปถึงเจ็ดวันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นให้ไล่นางออกไปอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น ก็ให้นำนางกลับมาได้”
15 พวกเขาจึงนำตัวมิเรียมออกไปไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวันและประชาชนก็ไม่ได้เดินทางต่อ รอจนนำมิเรียมกลับมา 16 หลังจากนั้นประชาชนก็ออกจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน
เหล่าผู้สอดแนมไปคานาอัน
(ฉธบ. 1:19-33)
13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ส่งคนของเจ้าออกไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเจ้าต้องส่งผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเผ่าเข้าไป”
3 โมเสสจึงส่งพวกนี้ไปจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของประชาชนชาวอิสราเอล 4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา
ชัมมุอาลูกชายศักเกอร์ จากเผ่าของรูเบน
5 ชาฟัทลูกชายโฮรี จากเผ่าของสิเมโอน
6 คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ จากเผ่าของยูดาห์
7 อิกาลลูกชายโยเซฟ จากเผ่าของอิสสาคาร์
8 โฮเชยาลูกชายนูน จากเผ่าของเอฟราอิม
9 ปัลทีลูกชายราฟู จากเผ่าของเบนยามิน
10 กัดเดียลลูกชายโสดี จากเผ่าของเศบูลุน
11 กัดดีลูกชายสุสี จากเผ่าของโยเซฟ ซึ่งมาจากเผ่าของมนัสเสห์
12 อัมมีเอลลูกชายเกมัลลี จากเผ่าของดาน
13 เสธูร์ลูกชายมีคาเอล จากเผ่าของอาเชอร์
14 นาบีลูกชายโวฟสี จากเผ่าของนัฟทาลี
15 เกอูเอลลูกชายมาคี จากเผ่าของกาด
16 ทั้งหมดนั้นเป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งออกไปสอดแนม[f] แผ่นดินนั้น (โมเสสได้เปลี่ยนชื่อโฮเชยาลูกชายของนูนเป็นโยชูวา[g])
17 ตอนที่โมเสสกำลังจะส่งพวกเขาไปสำรวจดินแดนคานาอัน โมเสสพูดว่า “ไปที่เนเกบและขึ้นไปที่แถบเนินเขานั้น 18 ไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร ให้ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ ให้ดูว่าพวกเขามีจำนวนมากหรือน้อย 19 ให้ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ให้ดูว่าเมืองที่พวกเขาอยู่นั้นเปิดโล่งหรือมีกำแพงล้อมรอบ 20 ให้ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือฝืดเคือง และให้ดูว่ามีต้นไม้หรือเปล่า พยายามเอาผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาด้วย” (ช่วงนี้เป็นหน้าองุ่นสุกพอดี)
21 พวกเขาจึงไปสำรวจดินแดนนั้น จากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินถึงเรโหบและเลโบ ฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปที่เนเกบและมาถึงเมืองเฮโบรน ซึ่งมีตระกูลของอาหิมาน เชชัยและทัลมัย ลูกหลานของอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันในประเทศอียิปต์อยู่เจ็ดปี) 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเอชโคล์[h] พวกเขาได้ตัดองุ่นพร้อมกิ่งมาพวงหนึ่ง แล้วเอาคานสอดหามกันมาสองคน พวกเขาแบกมะเดื่อและทับทิมมาด้วย 24 พวกเขาเรียกสถานที่นั้นว่า หุบเขาเอชโคล์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลไปตัดเถาองุ่นนั้นมา
25 หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาที่ค่าย 26 พวกเขามาหาโมเสส อาโรนและชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ที่เคเดช แล้วพวกเขาได้รายงานให้โมเสส อาโรน รวมทั้งคนในชุมชนฟัง พวกเขาได้เอาผลไม้ที่เก็บมาได้มาให้ดู 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้เข้าไปในแผ่นดินที่ท่านได้ส่งพวกเราไปมาแล้ว มันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[i] และนี่คือผลไม้ของมัน 28 แต่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแข็งแรง เมืองต่างๆก็มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ พวกเรายังเห็นชาวอานาค[j] ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลคอาศัยอยู่ในแผ่นดินเนเกบ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุสและชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่ตามแถบเนินเขา ส่วนชาวคานาอันอาศัยตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30 คาเลบบอกให้ประชาชนที่อยู่ใกล้โมเสสเงียบลง และเขาก็พูดว่า “เราควรจะบุกขึ้นไปยึดเอาแผ่นดินนั้นมาเป็นของเรา เพราะเราจะชนะมันแน่”
31 แต่คนอื่นที่ขึ้นไปกับคาเลบด้วยพูดว่า “พวกเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าเรามาก” 32 พวกนี้เอาแต่ข่าวร้ายมารายงานให้ประชาชนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสำรวจมานั้น พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสำรวจมานั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น[k] แถมคนที่เราเห็นที่นั่น ก็ตัวใหญ่เท่ายักษ์ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิล[l] ที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”
ขนมปังและเหล้าองุ่น
(มธ. 26:26-30; ลก. 22:15-20; 1 คร. 11:23-25)
22 ขณะที่กำลังกินอาหารอยู่นั้น พระเยซูได้หยิบขนมปังขึ้นมาขอบคุณพระเจ้า จากนั้นก็หักแบ่งให้พวกศิษย์แล้วพูดว่า “รับไปกินสิ นี่คือร่างกายของเรา”
23 แล้วพระองค์หยิบถ้วยขึ้นมาขอบคุณพระเจ้าและยื่นให้กับพวกศิษย์ พวกเขาก็ได้ดื่มจากถ้วยนั้นทุกคน
24 แล้วพระองค์พูดว่า “นี่คือเลือดของเรา พระเจ้าทำสัญญาขึ้นมาด้วยเลือดนี้ มันได้หลั่งไหลออกมาเพื่อคนเป็นจำนวนมาก 25 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกเลยจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า”
26 เมื่อพวกเขาได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแล้ว ก็ออกไปที่ภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูทำนายว่าพวกศิษย์จะทิ้งพระองค์
(มธ. 26:31-35; ลก. 22:31-34; ยน. 13:36-38)
27 พระเยซูพูดกับพวกศิษย์ว่า “พวกคุณจะทิ้งเราไปกันหมดทุกคน เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า
‘เราจะฆ่าคนเลี้ยงแกะ
และแกะนั้นก็จะกระเจิดกระเจิงไป’[a]
28 แต่เมื่อเราฟื้นขึ้นจากความตาย เราจะล่วงหน้าพวกคุณไปที่แคว้นกาลิลีก่อน”
29 แต่เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ถึงคนอื่นจะทิ้งอาจารย์ไปหมด ผมก็จะไม่มีวันทิ้งอาจารย์ไปอย่างเด็ดขาด”
30 พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “เราจะบอกให้ว่า คืนนี้แหละก่อนไก่ขันครั้งที่สอง คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง”
31 แต่เปโตรก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่า “ถึงผมจะต้องตายกับอาจารย์ ผมก็ไม่มีวันพูดไม่รู้จักอาจารย์” และพวกศิษย์ทั้งหมด ก็พูดอย่างเดียวกัน
พระเยซูอธิษฐานอยู่ตามลำพัง
(มธ. 26:36-46; ลก. 22:39-46)
32 พวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี พระเยซูบอกกับพวกศิษย์ว่า “นั่งคอยอยู่ที่นี่นะ เราจะไปอธิษฐาน” 33 พระองค์พาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แล้วพระองค์ก็เริ่มโศกเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์ยิ่งนัก 34 จึงบอกพวกเขาว่า “เราทุกข์ใจมากจนแทบจะตายอยู่แล้ว ให้ตื่นและเฝ้าระวังอยู่”
35 พระองค์เดินห่างออกไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วซบหน้าลงกับพื้นดิน อธิษฐานว่า ถ้าเป็นไปได้ขอให้เวลาแห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นไปจากพระองค์ 36 พระองค์พูดว่า “อับบา[b] พระบิดา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอช่วยเอาถ้วย[c] แห่งความทุกข์ยากนี้พ้นไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามใจพระบิดา ไม่ใช่ตามใจลูก”
37 แล้วพระองค์ก็เดินกลับมา เห็นพวกศิษย์นอนหลับอยู่ พระองค์จึงพูดกับเปโตรว่า “ซีโมน ยังจะหลับอยู่อีกหรือ คุณจะตื่นเป็นเพื่อนเราสักชั่วโมงไม่ได้เลยหรือ 38 พวกคุณต้องเฝ้าระวังและอธิษฐาน จะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน ถึงแม้จิตใจอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่”
39 พระองค์เดินไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งและพูดเหมือนเดิม 40 พอเดินกลับมา ก็เจอพวกศิษย์ยังนอนหลับอยู่ เปลือกตาเขาหนักอึ้งลืมไม่ขึ้น เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับพระองค์
41 ต่อมาพระองค์ก็เดินกลับมาดูพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สาม และพูดว่า “ยังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่อีกเหรอ นอนพอแล้ว ชั่วโมงที่บุตรมนุษย์จะถูกหักหลังให้ไปอยู่ในมือของพวกคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 42 ลุกขึ้นไปกันเถอะ นั่นไง คนที่หักหลังเรามาถึงแล้ว”
พระเยซูถูกจับ
(มธ. 26:47-56; ลก. 22:47-53; ยน. 18:3-12)
43 พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาส ศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนก็มาถึงพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่ถือดาบและไม้กระบอง คนพวกนี้ถูกส่งมาจากพวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้อาวุโส
44 ยูดาสได้ตกลงกับพวกนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “คนที่ผมจูบคือคนๆนั้น เข้าไปจับกุมและควบคุมตัวไปเลย” 45 เมื่อยูดาสมาถึงก็เดินเข้าไปหาพระเยซูและพูดว่า “อาจารย์ครับ” แล้วจูบพระองค์ 46 พวกนั้นก็เข้ามาจับตัวพระองค์และคุมตัวไว้ 47 คนหนึ่งในพวกพระเยซูที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้น ได้ชักดาบออกมา แล้วก็ฟันถูกหูทาสคนหนึ่งของนักบวชสูงสุดขาดไป
48 พระเยซูพูดกับพวกนั้นว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมาจับเรา 49 เราอยู่กับพวกคุณทุกวัน สอนอยู่ในวิหาร แต่พวกคุณก็ไม่จับ แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามที่ได้เขียนไว้แล้วในพระคัมภีร์” 50 ส่วนพวกศิษย์วิ่งหนีทิ้งพระองค์ไปกันจนหมด
51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามพระองค์มา ไม่ได้สวมใส่อะไรเลย นอกจากห่มผ้าป่านผืนหนึ่ง เมื่อพวกนั้นพยายามจะจับเขา 52 เขาก็ได้สลัดผ้าป่านทิ้งแล้วเปลือยกายวิ่งหนีไป
ที่ลี้ภัยที่เป็นภัย
ถึงหัวหน้านักร้อง บทกวีแห่งมัสคิล[a] ของกษัตริย์ดาวิด จากตอนที่โดเอก คนเอโดมไปบอกกับกษัตริย์ซาอูลว่า “ดาวิดได้เข้าไปในบ้านของอาคีเมเลค”
1 เฮ้ย เจ้านักเลงโต ทำไมเจ้าถึงได้โอ้อวดถึงเรื่องชั่วๆที่เจ้าทำ
ในขณะที่พระเจ้าแสดงความรักมั่นคงของพระองค์ตลอดเวลา
2 ไอ้จอมลวงโลก เจ้าชอบวางแผนทำลายล้างผู้อื่น
ลิ้นของเจ้าอันตรายเหมือนมีดโกนที่คมกริบ
3 เจ้ารักความชั่วมากกว่าความดี
และพูดโกหกมากกว่าพูดความจริง เซลาห์
4 ตัวเจ้าและลิ้นอันปลิ้นปล้อนของเจ้า
รักที่จะทำร้ายผู้อื่น
5 ดังนั้นพระเจ้าจะรื้อเจ้าลงตลอดกาล
พระองค์จะคว้าและกระชากตัวเจ้าออกไปจากเต็นท์ของเจ้า
พระองค์จะถอนรากถอนโคนเจ้าให้พ้นจากแผ่นดินของคนเป็น เซลาห์
6 คนดีจะเห็นสิ่งนี้และตลึงงัน
และจะหัวเราะเยาะคนชั่ว แล้วพูดว่า
7 “ดูคนที่แข็งแรงนั่นสิ เขาไม่ได้เอาพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัย
แต่กลับพึ่งความร่ำรวยของตน
เขาพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น ด้วยการทำลายล้างผู้อื่น”
8 แต่ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนต้นมะกอกสีเขียวที่เจริญเติบโตอยู่ในลานในวิหารของพระเจ้า
ข้าพเจ้าจะพึ่งพิงความรักมั่นคงของพระเจ้าตลอดไป
9 ต่อหน้าผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดกาล
สำหรับสิ่งที่พระองค์ทำ
และข้าพเจ้าจะฝากความหวังของข้าพเจ้า
ไว้ในชื่อของพระองค์ เพราะพระองค์นั้นดี
11 พระยาห์เวห์เกลียดตาชั่งที่คดโกง
แต่พระองค์ชอบใจลูกตุ้มที่เที่ยงตรง
2 ความหยิ่งมาเมื่อไหร่ ความอับอายก็ตามมา
แต่สติปัญญาจะมากับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
3 ความสัตย์ซื่อจะนำทางคนซื่อตรง
แต่ความปลิ้นปล้อนของคนทรยศจะทำลายตัวเขาเอง
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International