The Daily Audio Bible
Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.
สัญญาพิเศษ
30 โมเสสพูดกับพวกหัวหน้าเผ่าต่างๆของชาวอิสราเอลว่า พระยาห์เวห์สั่งไว้ว่าอย่างนี้คือ
2 “เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งได้บนไว้กับพระยาห์เวห์ หรือสาบานไว้ว่าจะทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง เขาต้องไม่ผิดคำพูด เขาต้องรักษาคำพูดของเขาทุกอย่าง
3 แต่เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้สาบานต่อพระยาห์เวห์ ที่จะทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง ตอนที่นางอาศัยอยู่กับพ่อ เพราะยังเป็นเด็กอยู่ 4 และพ่อของนางก็ได้ยินสิ่งที่นางสาบาน และไม่ได้ห้ามอะไร นางต้องรักษาสิ่งที่นางได้สาบานไว้ทั้งหมด 5 แต่ถ้าพ่อของนางห้ามนาง ตอนที่ได้ยินนางสาบาน นางก็ไม่ต้องทำตามคำสาบานนั้น พระยาห์เวห์จะยกโทษให้นาง เพราะพ่อของนางได้ห้ามนางตั้งแต่แรก
6 แต่ถ้านางได้สาบานหรือสัญญาต่อพระยาห์เวห์ แล้วไปแต่งงาน 7 เมื่อสามีของนางรู้เข้า แต่ไม่ได้ว่าอะไรในวันที่เขาได้ยินเรื่องนี้ นางก็ต้องรักษาคำสาบานนั้น 8 แต่ถ้าสามีของนางห้ามนาง ในวันที่เขาได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ได้ยกเลิกคำสาบานหรือคำสัญญานั้นของนาง และพระยาห์เวห์ก็จะยกโทษให้นาง
9 เมื่อแม่หม้าย หรือหญิงที่หย่ากับสามี สาบานอะไรไว้ก็ตาม พวกเขาก็ต้องทำตามคำสาบานนั้นทุกอย่าง 10 แต่ถ้าหญิงที่แต่งงานแล้วได้บนไว้ หรือได้สาบานไว้ว่าจะทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง 11 และสามีนางได้ยินเข้า แต่ไม่ได้ว่าอะไร และไม่ได้ห้ามด้วย นางจะต้องทำตามที่บนไว้ หรือที่สาบานไว้ทุกอย่าง 12 แต่ถ้าสามีนางยกเลิกคำสาบานพวกนั้น ในวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น นางก็ไม่ต้องทำตามสิ่งที่นางได้สาบาน เพราะสามีนางได้ยกเลิกพวกมันไปหมดแล้ว และพระยาห์เวห์ก็จะยกโทษให้กับนาง 13 สามีของนางอาจจะให้นางทำตามคำสาบานนั้น หรือเขาอาจจะยกเลิกมันก็ได้ 14 ถ้าสามีนางไม่พูดอะไรกับนาง หลังจากวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับมัน นางจะต้องรักษาคำสาบานที่นางทำไว้ทั้งหมด เพราะเขาไม่ได้ว่าอะไรนางในวันที่เขาได้ยินเรื่องนั้น 15 แต่ถ้าสามีนางมายกเลิกสัญญาพวกนี้ ภายหลังจากวันที่เขาได้ยินเรื่องพวกนี้แล้ว เขาจะต้องรับโทษแทนนาง”
16 นี่คือกฎที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างสามีและภรรยาของเขา และระหว่างพ่อกับลูกสาวที่ยังอยู่ในบ้านของพ่อเพราะยังเด็กอยู่
ชาวอิสราเอลตอบโต้กลับชาวมีเดียน
31 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “หาทางแก้แค้นชาวมีเดียนคืน ที่พวกมันทำไว้กับชาวอิสราเอล แล้วหลังจากนั้น เจ้าจะตายและไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของเจ้า”
3 โมเสสจึงพูดกับประชาชนว่า “เลือกคนของพวกท่านมาจำนวนหนึ่งเพื่อไปออกรบ เพื่อพวกเขาจะได้โจมตีชาวมีเดียน ให้สมกับแค้นที่พระยาห์เวห์มีต่อชาวมีเดียน 4 ท่านต้องส่งคนหนึ่งพันคน[a] จากแต่ละเผ่าของอิสราเอลเพื่อไปทำสงครามนี้” 5 เมื่อรวมคนอิสราเอลเผ่าละหนึ่งพันคนจากทุกเผ่าแล้ว ได้คนที่จะไปทำสงครามทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันคน
6 โมเสสจึงส่งคนไปรบ จากเผ่าละหนึ่งพันคน โมเสสส่งพวกเขาและฟีเนหัสลูกชายนักบวชเอเลอาซาร์ไปสงคราม ฟีเนหัสเอาของศักดิ์สิทธิ์ และแตรให้สัญญาณติดตัวไปด้วย 7 พวกเขาจึงต่อสู้กับพวกมีเดียนตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้ พวกเขาฆ่าผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายชาวมีเดียนทุกคนในแคว้นนั้น 8 พร้อมๆกับเหยื่ออื่นๆด้วย พวกเขาฆ่าพวกกษัตริย์ชาวมีเดียน มี เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์และเรบา ทั้งห้าคนนี้เป็นกษัตริย์ของมีเดียน พวกเขายังฆ่าบาลาอัมลูกชายเบโอร์ด้วยดาบ
9 ชาวอิสราเอลได้จับผู้หญิงและเด็กๆชาวมีเดียนไปด้วย พวกเขายังยึดเอาสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ฝูงวัวและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของคนเหล่านั้นไว้ 10 ชาวอิสราเอลได้เผาทิ้งบ้านเมืองทั้งหมดของชาวมีเดียนที่พวกเขาได้ตั้งรกรากกันอยู่ รวมทั้งค่ายทั้งหมด 11 พวกเขาได้ยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้จากสงคราม รวมทั้งคนและสัตว์ 12 และนำเชลยเหล่านั้นและสิ่งของที่ยึดได้จากสงครามไปให้โมเสสและนักบวชเอเลอาซาร์และชุมชนชาวอิสราเอล ที่ค่ายในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนฝั่งตรงข้ามเยริโค 13 โมเสส นักบวชเอเลอาซาร์และบรรดาผู้นำชุมชน ต่างออกมาพบพวกเขาที่นอกค่าย
14 โมเสสโกรธมากต่อบรรดาผู้นำกองทัพ พวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บัญชาการกองร้อยที่กลับจากสงคราม 15 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “นี่ท่านไว้ชีวิตพวกผู้หญิงหรือ 16 พวกนี้นี่แหละที่ทำตามคำแนะนำของบาลาอัม ทำให้ชาวอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์ที่เปโอร์ จนทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงมาทำลายชุมชนของพระยาห์เวห์ 17 ฉะนั้น ตอนนี้ฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนและฆ่าผู้หญิงทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย 18 แต่ไว้ชีวิตหญิงสาวทุกคนสำหรับพวกท่าน หญิงสาวที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมาก่อน 19 พวกท่านต้องอยู่ที่นอกค่ายก่อนเป็นเวลาเจ็ดวัน พวกท่านทุกคนหรือเชลยที่ได้ฆ่าคนหรือแตะต้องร่างคนตายมา ต้องชำระตัวเองในวันที่สามและในวันที่เจ็ด 20 ท่านต้องซักล้างเสื้อผ้าทั้งหมด เครื่องหนังทั้งหมด ทุกสิ่งที่ทำจากขนแพะ รวมทั้งทุกสิ่งที่ทำจากไม้”
21 แล้วนักบวชเอเลอาซาร์ก็พูดกับพวกผู้ชายที่ไปรบมาว่า “นี่เป็นกฎที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้ คือ 22-23 ทุกอย่างที่ทนไฟได้ ต้องเอาไปวางไว้ในไฟ ท่านต้องเอา ทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุกและตะกั่ว ไปวางไว้ในไฟ แล้วนำไปล้างน้ำ เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์ ส่วนของทุกอย่างที่ไม่ทนไฟ ให้พวกท่านนำไปล้างน้ำ 24 ในวันที่เจ็ด ท่านต้องซักเสื้อผ้าของท่าน และท่านจะสะอาด หลังจากนั้นท่านถึงจะเข้าไปในค่ายได้”
25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 26 “เจ้าและนักบวชเอเลอาซาร์และพวกผู้นำครอบครัวของชุมชน ให้นับทุกสิ่งทุกอย่างที่ยึดมาได้ในสงครามไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ 27 ให้แบ่งสิ่งที่ยึดมาได้ทั้งหมด ระหว่างทหารที่ออกไปรบกับคนในชุมชน โดยแบ่งให้ฝ่ายละครึ่ง 28 เจ้าต้องหักภาษีให้พระยาห์เวห์ด้วย ครึ่งหนึ่งที่เป็นของทหารที่ออกไปรบนั้น ให้หักออกมาหนึ่งส่วนจากทุกๆห้าร้อย ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลาหรือแกะ 29 ของเหล่านี้จะถูกหักออกจากส่วนของพวกเขา เพื่อให้กับนักบวชเอเลอาซาร์ เพื่อเป็นของขวัญแก่พระยาห์เวห์ 30 อีกครึ่งหนึ่งของประชาชนชาวอิสราเอล ให้หักออกมาหนึ่งส่วนจากทุกๆห้าสิบ ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลาหรือแกะ รวมทั้งสัตว์ทุกชนิด เจ้าต้องนำส่วนที่หักได้นี้ไปให้ชาวเลวี ที่ทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าระวังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์”
31 โมเสสและนักบวชเอเลอาซาร์ทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้ทุกอย่าง 32 สิ่งต่างๆที่พวกทหารยึดมาได้จากสงคราม คือ แกะหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันตัว 33 วัวเจ็ดหมื่นสองพันตัว 34 ลาหกหมื่นหนึ่งพันตัว 35 และคนสามหมื่นสองพันคน ทั้งหมดนี้เป็นหญิงสาวที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมาก่อน 36 ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของทหาร คือ แกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว 37 เป็นภาษีของพระยาห์เวห์ หกร้อยเจ็ดสิบห้าตัว 38 วัวทั้งหมดสามหมื่นหกพันตัว เป็นภาษีของพระยาห์เวห์เจ็ดสิบสองตัว 39 ลาทั้งหมดสามหมื่นห้าร้อยตัว เป็นภาษีของพระยาห์เวห์หกสิบเอ็ดตัว 40 จำนวนคนทั้งหมดหนึ่งหมื่นหกพันคน เป็นภาษีของพระยาห์เวห์สามสิบสองคน 41 โมเสสให้ภาษีส่วนที่เป็นของขวัญของพระยาห์เวห์ให้กับนักบวชเอเลอาซาร์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเขาไว้
42 ส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่งของประชาชนชาวอิสราเอลที่โมเสสได้จากทหาร 43 ที่เป็นครึ่งหนึ่งของชุมชนคือ แกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว 44 วัวสามหมื่นหกพันตัว 45 ลาสามหมื่นห้าร้อยตัว 46 และคนหนึ่งหมื่นหกพันคน 47 จากครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนแบ่งของประชาชนชาวอิสราเอล โมเสสหักออกมาหนึ่งส่วนในทุกๆห้าสิบ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ และเอาไปให้ชาวเลวีที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าระวังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
48 แล้วบรรดาผู้นำกองทัพ ผู้บัญชาการกองพันและผู้บัญชาการกองร้อยต่างมาหาโมเสส 49 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “พวกเราผู้รับใช้ของท่านได้นับทหารที่อยู่ในมือของเรา แล้วพบว่าไม่มีใครหายไปเลย 50 เราได้เอาพวกเครื่องทองที่พวกเราเจอ เอามาเป็นเครื่องถวายให้กับพระยาห์เวห์คือ กำไลแขน สร้อยข้อมือ แหวนตรา ตุ้มหูและสร้อยคอ มาเป็นค่าไถ่ชีวิตของเราต่อหน้าพระยาห์เวห์”
51 โมเสสและนักบวชเอเลอาซาร์รับทองจากพวกเขา ทุกอย่างเป็นของที่ทำอย่างประณีต 52 ทองทั้งหมดที่บรรดาผู้บัญชาการกองพันและผู้บัญชาการกองร้อย เอามาถวายให้เป็นของขวัญของพระยาห์เวห์นั้น มีน้ำหนักรวมหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดกิโลกรัม[b] 53 ส่วนของที่พลทหารได้ยึดเอามา พวกเขาก็เก็บเอาไว้เอง 54 ดังนั้นโมเสสและนักบวชเอเลอาซาร์จึงนำทองจากบรรดาผู้บัญชาการกองพันและกองร้อย ไปที่เต็นท์นัดพบ เพื่อเป็นที่ระลึก[c] สำหรับประชาชนชาวอิสราเอลต่อหน้าพระยาห์เวห์
มารมาลองใจพระเยซู
(มธ. 4:1-11; มก. 1:12-13)
4 พระเยซูเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์กลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณนำพระองค์ไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 2 มารร้ายมาลองใจพระองค์ถึงสี่สิบวัน ในช่วงนั้นพระองค์ไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อครบสี่สิบวันแล้ว พระเยซูก็หิวจัด
3 มารร้ายท้าทายกับพระองค์ว่า “ถ้าเป็นลูกพระเจ้า ก็เสกหินก้อนนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ”
4 แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า
‘ชีวิตที่เที่ยงแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนมปังเพียงอย่างเดียว’”[a]
5 แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูขึ้นไปบนที่สูง แล้วแสดงอาณาจักรทั้งหมดในโลกให้พระองค์เห็นในชั่วพริบตาเดียว 6 มันพูดว่า “เราจะยกอำนาจและความรุ่งเรืองทั้งหมดนี้ให้ เพราะมันถูกมอบให้กับเราแล้ว และเราอยากจะให้กับใครก็ให้ได้ 7 ถ้าท่านกราบไหว้บูชาเรา แผ่นดินทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของท่าน”
8 พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า
‘ให้กราบไหว้บูชาองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า
และให้รับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’”[b]
9 แล้วมารร้ายก็นำพระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ให้พระองค์ไปยืนบนจุดที่สูงที่สุดของวิหาร มันพูดว่า “ถ้าท่านเป็นลูกพระเจ้าจริงก็กระโดดลงไปเลย 10 เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘พระเจ้าจะสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์
มาปกป้องคุ้มครองท่าน
11 เหล่าทูตสวรรค์ก็จะรับท่านไว้
เพื่อไม่ให้เท้าของท่านกระแทกหิน’”[c]
12 แต่พระเยซูตอบว่า “พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่า ‘อย่าได้ลองดีกับองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้า’”[d]
13 เมื่อมารร้ายได้ลองใจพระองค์ครบทุกอย่างแล้ว มันก็จากไปเพื่อคอยหาโอกาสเหมาะอีก
พระเยซูสอนฝูงชน
(มธ. 4:12-17; มก. 1:14-15)
14 พระเยซูกลับไปแคว้นกาลิลี พระองค์เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ ชื่อเสียงของพระองค์แพร่กระจายไปทั่วแถบนั้น 15 พระองค์สอนอยู่ตามที่ประชุมต่างๆ และทุกคนต่างยกย่องพระองค์
พระเยซูกลับบ้าน
(มธ. 13:53-58; มก. 6:1-6)
16 แล้วพระเยซูก็ไปเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์เติบโตมา เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็ไปที่ประชุมเหมือนที่ทำเป็นประจำ พระองค์ยืนขึ้นเพื่ออ่านข้อความจากพระคัมภีร์ 17 พระองค์ได้รับม้วนหนังสือมา เป็นหนังสืออิสยาห์ซึ่งเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง แล้วคลี่ม้วนหนังสือนั้นออกเพื่อหาข้อความที่เขียนไว้ว่า
18 “พระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิตอยู่กับเรา
เพราะพระองค์แต่งตั้งให้เราประกาศข่าวดีกับคนจน
พระองค์ส่งเรามาบอกนักโทษว่าจะได้เป็นอิสระ
บอกคนตาบอดว่าจะมองเห็น บอกคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงว่าจะได้เป็นอิสระ
19 และบอกว่าถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะมาช่วยคนของพระองค์”[e]
20 จากนั้นพระองค์ม้วนหนังสือส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล แล้วนั่งลง แล้วทุกสายตาในที่นั้นก็จ้องเขม็งมาที่พระองค์ 21 พระองค์เริ่มพูดกับพวกเขาว่า “ในวันนี้เรื่องในพระคัมภีร์ที่คุณเพิ่งได้ยินเราอ่านไปนั้นได้เป็นจริงแล้ว”
22 ทุกคนก็ได้พูดเยินยอพระองค์ และแปลกใจในคำพูดน่าทึ่งที่ออกมาจากปากพระองค์ พวกเขาถามกันว่า “นี่ลูกโยเซฟไม่ใช่หรือ”
23 แล้วพระองค์พูดว่า “พวกคุณจะต้องยกคำสุภาษิตนี้มาอ้างกับเราแน่ ที่ว่า ‘หมอเอ๋ย รักษาตัวเองเสียก่อนเถอะ’ แล้วพวกคุณคงอยากจะพูดว่า ‘ทำเรื่องอัศจรรย์ที่นี่ในบ้านเมืองของเจ้าสิ อย่างที่เราได้ยินว่าเจ้าทำที่เมืองคาเปอรนาอุม’ 24 แต่เราจะบอกให้รู้นะว่า ไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าคนไหนที่ได้รับการยอมรับในบ้านเมืองของตัวเองหรอก 25 ดูอย่างสมัยของเอลียาห์สิ เมื่อเกิดฝนแล้งเป็นเวลาถึงสามปีครึ่ง จนเกิดความอดอยากไปทั่ว มีแม่ม่ายมากมายในหมู่ชาวอิสราเอล 26 แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งเอลียาห์ไปหาแม่ม่ายชาวอิสราเอลพวกนั้น แต่กลับส่งไปหาแม่ม่ายคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนยิวที่เมืองศาเรฟัทในเขตแดนไซดอน 27 ก็เหมือนกับในสมัยของเอลีชา[f] ที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้า มีคนเป็นโรคผิวหนังร้ายแรงมากมายในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการชำระให้สะอาดเลย ยกเว้นแต่คนที่ชื่อนาอามานเพียงคนเดียว และเขาเป็นคนซีเรียไม่ใช่คนยิว”
28 เมื่อทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมชาวยิวได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธแค้นมาก 29 เขาลุกฮือกันขึ้น บังคับให้พระเยซูออกไปนอกเมือง ไปที่หน้าผาบนเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ หวังจะผลักพระองค์ลงไป 30 แต่พระองค์ก็ฝ่าวงล้อมของพวกเขาไปได้
ใจที่หิวกระหายพระเจ้า
เพลงสดุดีของดาวิด เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งของยูดาห์[a]
1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง
ใจของข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์
ร่างกายของข้าพเจ้าโหยหาพระองค์ในแผ่นดินที่แห้งแล้งขาดน้ำนี้ ที่ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเปลี้ยเหลือเกิน
2 ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเคยเห็นพระองค์ในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ข้าพเจ้าเคยเห็นความแข็งแกร่งและสง่าราศีของพระองค์
3 ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดียิ่งกว่าชีวิตเสียอีก
4 ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระองค์ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
ข้าพเจ้ายกมือของข้าพเจ้าขึ้นเรียกชื่อของพระองค์
5 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าพอใจยิ่งนักเหมือนเพิ่งได้กินอาหารที่ดีที่สุด
ปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่เป็นสุขนั้น
6 ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์
ในขณะที่นอนอยู่บนเตียงและคิดถึงพระองค์ในตอนดึก
7 เพราะพระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่ภายใต้เงาปีกของพระองค์
8 ข้าพเจ้าตามอยู่หลังพระองค์
มือขวาของพระองค์จับข้าพเจ้าไว้แน่น
9 ส่วนคนพวกนั้นที่อยากจะฆ่าข้าพเจ้า
ก็จะถูกส่งลงไปในหลุมศพเสียเอง
10 พวกเขาจะถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ
และกลายเป็นอาหารของหมาป่า
11 แต่กษัตริย์จะมีความสุขในพระเจ้า
ทุกคนที่สาบานโดยอ้างชื่อของพระเจ้าจะพากันสรรเสริญพระเจ้า
เพราะพระองค์จะปิดปากคนที่พูดโกหก
20 พระยาห์เวห์สะอิดสะเอียนคนที่มีจิตใจคดโกง
แต่พระองค์จะยอมรับคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ที่ติ
21 ขอให้มั่นใจได้ว่า คนชั่วจะไม่มีวันหนีพ้นจากการถูกลงโทษไปได้
แต่คนที่ทำตามใจพระเจ้าพร้อมทั้งลูกหลานของเขาจะรอดพ้นโทษ
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International