The Daily Audio Bible
Today's audio is from the GW. Switch to the GW to read along with the audio.
งานของครอบครัวโคฮาท
4 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 2 “ให้ขึ้นทะเบียนจำนวนลูกหลานของโคฮาทที่อยู่กับชาวเลวี ตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 3 ที่มีอายุตั้งแต่สามสิบถึงห้าสิบปีทุกคนที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ 4 งานของชาวโคฮาทคือขนย้ายพวกของที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเต็นท์นัดพบ
5 เมื่อคนอิสราเอลจะเดินทางต่อไป อาโรนกับลูกชายของเขาต้องเข้าไปในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และปลดม่านที่กั้นห้องชั้นในสุด แล้วเอาม่านนั้นมาคลุมหีบที่ใส่ข้อตกลงไว้ 6 หลังจากนั้น พวกเขาต้องคลุมของพวกนี้ด้วยหนังอย่างดี แล้วเอาผ้าหนาๆสีน้ำเงินมาคลุมทับบนหนังอีกชั้นหนึ่ง แล้วเอาคานมาสอดห่วงข้างหีบนั้น
7 จากนั้นพวกเขาต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมากางไว้บนโต๊ะศักดิ์สิทธิ์ แล้วเอาพวกจาน ช้อน ชามและไหใส่เครื่องดื่มบูชา มาวางไว้บนโต๊ะนั้น และให้เอาขนมปังมาวางด้วย ขนมปังนี้จะต้องอยู่บนโต๊ะนั้นตลอดเวลา 8 แล้วพวกเขาต้องเอาผ้าสีแดงมาคลุมของพวกนี้อีกที หลังจากนั้นก็ต้องเอาหนังอย่างดีมาคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง และสอดคานหามเข้าในห่วงของโต๊ะ
9 พวกเขาต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมาคลุมขาตั้งของตะเกียงที่มีขาตั้ง พวกตะเกียง กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ถาดต่างๆ รวมทั้งพวกไหทั้งหมดที่ใช้ใส่น้ำมันเอามาใช้กับตะเกียง 10 พวกเขาต้องเอาหนังอย่างดีมาคลุมตะเกียงที่มีขาตั้ง และอุปกรณ์ทั้งหมดของมัน และวางไว้บนคานหาม
11 พวกเขาต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมากางบนแท่นบูชาทองคำ แล้วเอาหนังอย่างดีมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง แล้วเอาคานสอดเข้ากับห่วงของแท่นบูชา
12 แล้วพวกเขาต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมาห่ออุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเอาหนังอย่างดีคลุมทับ แล้วเอาไปวางไว้บนคานหาม
13 จากนั้นพวกเขาต้องเอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชาแล้วเอาผ้าสีม่วงมากางบนแท่นนั้น 14 แล้วพวกเขาต้องรวบรวมเครื่องใช้ทุกอย่างที่ใช้กับแท่นบูชานั้น เช่น พวกถาด ส้อม พลั่วและชามประพรม ให้เอาเครื่องใช้ทุกอย่างนี้มาวางไว้บนแท่นบูชา แล้วเอาหนังอย่างดีมาคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง และเอาคานหามสอดเข้ากับห่วงของแท่นบูชา
15 เมื่ออาโรนและลูกชายจัดการคลุมข้าวของเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์และภาชนะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และค่ายทั้งค่ายก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ชาวโคฮาทก็จะเข้าไปข้างในเพื่อขนย้ายของเหล่านั้น ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะได้ไม่ไปจับถูกของศักดิ์สิทธิ์แล้วตาย ชาวโคฮาทมีหน้าที่ขนย้ายของในเต็นท์นัดพบ
16 เอเลอาซาร์ลูกชายนักบวชอาโรนจะรับผิดชอบเกี่ยวกับน้ำมันสำหรับจุดตะเกียง เครื่องหอม เครื่องบูชาประจำวันจากเมล็ดพืช[a] และน้ำมันสำหรับเจิม เขาจะรับผิดชอบเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และทุกอย่างในเต็นท์นั้น รวมทั้งของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆและพวกภาชนะของมัน”
17 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 18 “อย่าให้พวกตระกูลของชาวโคฮาทต้องถูกทำลายไปจากกลุ่มชาวเลวี 19 เมื่อพวกโคฮาทจะต้องเข้าไปหยิบยกพวกของศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น ให้ทำอย่างนี้กับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้มีชีวิตอยู่และไม่ตาย คือให้อาโรนและลูกชายเข้าไปกับพวกโคฮาท และคอยบอกให้พวกเขาทำโน่นทำนี่ แบกนั่นแบกนี่ 20 เพื่อว่าชาวโคฮาทจะได้ไม่เข้าไป และมองเห็นพวกของศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้า ถึงแม้จะมองแค่แวบเดียวก็ต้องตาย”
งานของครอบครัวเกอร์โชน
21 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 22 “ให้ลงทะเบียนชาวเกอร์โชนด้วย โดยนับตามครอบครัวและตามตระกูลของพวกเขา 23 ให้ลงทะเบียน[b]คนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบถึงห้าสิบปีทุกคน ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ
24 พวกชาวเกอร์โชนมีหน้าที่รับใช้และแบกหาม 25 พวกเขาจะต้องแบกพวกผ้าม่านของเต็นท์นัดพบและหลังคาของมัน รวมทั้งหลังคาที่ทำจากหนังอย่างดีซึ่งคลุมอยู่บนมัน และม่านที่กั้นทางเข้าเต็นท์นัดพบ 26 พวกเขาจะต้องแบกม่านที่บริเวณลาน ม่านกั้นทางเข้าประตูลานที่อยู่ล้อมรอบเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และแท่นบูชา พวกเชือกและเครื่องมือต่างๆที่ใช้กับม่านนี้ รวมทั้งสิ่งอื่นๆทั้งหมดที่ทำขึ้นมาใช้กับพวกมัน พวกชาวเกอร์โชนก็จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ 27 งานทั้งหมดที่ชาวเกอร์โชนทำ และการเคลื่อนย้าย รวมทั้งการบริการ จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของอาโรนและพวกลูกชายของเขา และเจ้าต้องให้พวกเขารับผิดชอบเป็นยามเฝ้าระวังของที่พวกเขาขนย้ายด้วย 28 นี่เป็นงานที่ชาวเกอร์โชนต้องทำที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบและเป็นยามเฝ้าระวัง โดยมีอิธามาร์ลูกชายของนักบวชอาโรนเป็นคนสั่งงาน
งานของครอบครัวเมรารี
29 ให้เจ้าลงทะเบียนชาวเมรารี ตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 30 ให้เจ้าลงทะเบียนคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปีทุกคนที่สามารถทำงานรับใช้ในเต็นท์นัดพบได้ 31 นี่เป็นงานที่ชาวเมรารีจะต้องเฝ้าระวัง เมื่อพวกเขาขนย้ายของในเต็นท์นัดพบ คือพวกโครงสร้างของเต็นท์ พวกสลักกลอนประตู พวกเสา และฐานของมัน 32 พวกเขาต้องขนเสารอบๆลาน กับฐานของมัน พวกหมุดยึดและเชือกกับอุปกรณ์ต่างๆของมัน ให้ทำรายชื่อของที่พวกเขาต้องเฝ้าระวังและขนย้าย 33 นั่นเป็นงานของคนในตระกูลเมรารี รวมถึงงานทั้งหมดที่พวกเขาทำเกี่ยวกับเต็นท์นัดพบ โดยมีอิธามาร์ลูกชายนักบวชอาโรนเป็นคนสั่งงาน”
ครอบครัวชาวเลวี
34 โมเสส อาโรนและบรรดาผู้นำชุมชนได้ลงทะเบียนชาวโคฮาทตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 35 ผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ
36 นับจำนวนคนตามตระกูลของเขาได้ทั้งหมดสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคน 37 นี่คือจำนวนคนที่นับได้จากตระกูลโคฮาท ทุกคนทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ โมเสสและอาโรนนับพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
38 มีการขึ้นทะเบียนชาวเกอร์โชนตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 39 มีการนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ 40 นับจำนวนคนตามตระกูลของพวกเขาได้ทั้งหมดสองพันหกร้อยสามสิบคน 41 นี่คือจำนวนคนที่นับได้จากตระกูลเกอร์โชน ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบได้ โมเสสและอาโรนได้นับพวกเขาตามคำสั่งของพระยาห์เวห์
42 มีการขึ้นทะเบียนชาวเมรารีตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 43 มีการนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบได้ 44 นับจำนวนคนตามตระกูลของพวกเขาได้ทั้งหมดสามพันสองร้อยคน 45 นี่คือจำนวนคนที่นับได้จากตระกูลเมรารี ทุกคนที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบได้ โมเสสและอาโรนได้นับพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
46 โมเสส อาโรนและบรรดาผู้นำของชาวอิสราเอลได้นับชาวเลวีตามตระกูลและครอบครัวของพวกเขา 47 นับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ที่สามารถทำงานเกี่ยวข้องกับเต็นท์นัดพบ คืองานกรรมกรและงานแบกหาม 48 รวมทั้งหมดมีแปดพันห้าร้อยแปดสิบคน
49 โมเสส อาโรน และพวกผู้นำ ได้นับพวกเขาตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ที่สั่งผ่านโมเสสมา แบ่งตามงานและความรับผิดชอบของแต่ละคน บางคนก็ห่อของ บางคนขนย้าย ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้
กฎเกี่ยวกับความสะอาด
5 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ให้สั่งชาวอิสราเอลว่า พวกเขาจะต้องไล่คนพวกนี้ออกจากค่าย คือคนที่เป็นโรคผิวหนัง คนที่มีน้ำหนองไหล[c] ออกจากร่างกาย รวมทั้งคนที่กลายเป็นคนไม่บริสุทธิ์เพราะไปแตะต้องศพ 3 เจ้าต้องขับไล่พวกเขาออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไล่พวกเขาออกไปนอกค่าย เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทำให้ค่ายสกปรก เพราะเราอยู่ในค่ายนั้น”
4 ชาวอิสราเอลจึงทำตาม ไล่คนพวกนั้นออกไปนอกค่าย ชาวอิสราเอลได้ทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้
การชดใช้เมื่อทำผิด
(ลนต. 6:1-7)
5 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 6 “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม ไปทำบาปต่อคนอื่น และได้สาบานว่าตัวเองไม่ผิด ทั้งๆที่ผิด อย่างนี้ถือว่าได้ทำผิดต่อพระยาห์เวห์ คนๆนั้นต้องรับผิด 7 เขาจะต้องสารภาพความบาปที่เขาได้ทำไป ต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และยังต้องเพิ่มอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของค่าเสียหายนั้น ให้กับคนที่เขาไปโกงมา 8 แต่ถ้าคนที่ถูกโกงนั้นตายไปแล้ว และไม่มีญาติสนิทที่จะรับค่าชดใช้นั้น ค่าชดใช้นั้นก็จะเป็นของพระยาห์เวห์ ให้เอาไปให้กับนักบวช นอกจากนั้นแล้ว คนๆนั้นต้องเอาแกะตัวผู้มาตัวหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องบูชาชดใช้ นักบวชจะถวายแกะตัวนี้แทนเขาเพื่อกำจัดบาป[d] ให้กับเขา
9 ถ้าชาวอิสราเอลเอาของขวัญพิเศษมาถวายพระเจ้า นักบวชที่รับของขวัญนั้น ก็เก็บเอาไว้เองได้ มันจะเป็นของนักบวชคนนั้น 10 ของขวัญพิเศษนี้จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แต่ถ้าคนอิสราเอลจะให้ มันก็จะตกเป็นของนักบวช”
สามีที่ขี้ระแวง
11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 12 “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า เมื่อเมียของชายคนหนึ่งไปทำผิดศีลธรรมหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา 13 และไปมีเพศสัมพันธ์กับชายคนอื่น แล้วปกปิดไม่ให้สามีรู้ นางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถึงแม้นางจะทำตัวเสื่อมเสีย แต่ไม่มีพยานและจับไม่ได้คาหนังคาเขา 14 ถ้าในสถานการณ์อย่างนี้ สามีเกิดหึงหวงนางขึ้นมา และนางได้ทำตัวเสื่อมเสียจริงๆ หรือสามีหึงหวงนาง ทั้งๆที่นางไม่ได้ทำตัวเสื่อมเสีย 15 ก็ให้ผู้ชายคนนี้พาภรรยาของเขาไปหานักบวช และเขาต้องเอาเครื่องบูชาสำหรับภรรยาไปด้วยคือ แป้งบาร์เลย์สองลิตร[e] เขาต้องไม่เทน้ำมันและเครื่องหอม ลงไปในแป้งนั้น เพราะเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชนี้เกิดมาจากความหึงหวงของสามี เครื่องบูชาจากเมล็ดพืชนี้จะบอกให้รู้ว่านางผิดหรือไม่
16 จากนั้นนักบวชจะนำตัวนางเข้ามาใกล้ๆ มายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ 17 แล้วนักบวชจะเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์มาใส่ในไหดินเหนียว และนักบวชจะหยิบเอาฝุ่นจากพื้นของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงไปในน้ำนั้น 18 แล้วนักบวชจะให้หญิงคนนั้นมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ เขาจะปล่อยผมนางออกและวางเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชไว้บนมือนาง เป็นเครื่องบูชาที่จะบอกให้รู้ว่านางผิดหรือไม่ เครื่องบูชานี้เกิดมาจากความหึงหวงของสามีนาง และนักบวชก็จะถือน้ำที่จะก่อปัญหาที่จะนำคำสาปแช่งมา
19 นักบวชจะให้หญิงคนนั้นสาบานและเขาจะพูดกับนางว่า ‘ถ้าเจ้าไม่เคยนอนกับผู้ชายคนอื่น และไม่เคยผิดศีลธรรมจนทำให้เจ้าเสื่อมเสีย ตอนที่ยังอยู่กินกับสามีของเจ้านั้น น้ำที่จะก่อปัญหาที่จะนำคำสาปแช่งนี้ ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า 20 แต่ถ้าเจ้าทำผิดศีลธรรม ตอนที่เจ้ายังอยู่กินกับสามี และไปนอนกับผู้ชายอื่นจนทำให้เจ้าเสื่อมเสียแล้วละก็ 21 นักบวชจะต้องทำให้ผู้หญิงนั้นสาบานตามคำแช่งสาปนี้ และพูดกับนางว่า ขอให้พระยาห์เวห์ทำให้ปัญหานั้นเกิดกับเจ้า จนเวลาที่คนของเจ้าจะสาปแช่งใคร ก็จะพูดว่าขอให้เป็นเหมือนเจ้า เพราะพระองค์จะทำให้เจ้าไม่มีลูกและถ้าท้องอยู่ก็จะแท้ง[f] 22 และขอให้น้ำที่จะก่อปัญหาและนำคำสาปแช่งนี้ ตกลงไปในท้องของเจ้า และทำให้เจ้าแท้งและไม่มีลูก’ แล้วหญิงผู้นั้นต้องพูดว่า ‘ขอให้เป็นอย่างนั้น ขอให้เป็นอย่างนั้น’
23 แล้วนักบวชจะเขียนคำสาปแช่งพวกนี้ลงบนม้วนกระดาษหนัง และนำไปล้างในน้ำที่จะก่อให้เกิดปัญหานั้น 24 แล้วนักบวชจะให้หญิงคนนั้นดื่มน้ำที่จะก่อให้เกิดปัญหาที่จะนำคำสาปแช่งมา น้ำนั้นจะเข้าสู่ตัวนางและก่อให้เกิดความเจ็บปวดยิ่งนัก
25 นักบวชจะเอาเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชจากมือของนาง เครื่องบูชาที่มาจากสามีที่หึงหวงของนาง และยื่นให้พระยาห์เวห์ แล้วนักบวชจะนำมันไปไว้บนแท่นบูชา 26 นักบวชจะหยิบเครื่องบูชาจากเมล็ดพืชนั้นมาหนึ่งกำมือ เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชาทั้งหมด และเอาไปเผาบนแท่นบูชา หลังจากนั้นก็จะให้หญิงนั้นดื่มน้ำ 27 เมื่อเขาทำให้หญิงคนนั้นดื่มน้ำแล้ว ก็จะรอดู ถ้านางทำตัวเสื่อมเสีย และไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีของนาง น้ำที่นำคำสาปแช่งนั้นก็จะเข้าไปในตัวนางและทำให้เกิดความเจ็บปวดยิ่งนัก ทำให้นางไม่สามารถมีลูกได้ และถ้าท้องก็จะแท้ง และหญิงนั้นก็จะกลายเป็นคำสาปแช่งในหมู่คนของนาง 28 ถ้าหญิงคนนั้นไม่ได้ทำตัวเสื่อมเสีย แต่นางบริสุทธิ์ นางก็จะได้รับการตัดสินให้เป็นผู้บริสุทธิ์และสามารถมีลูกได้
29 นั่นคือกฎสำหรับคดีหึงหวง เมื่อผู้หญิงได้ทำผิดศีลธรรม ตอนที่ยังอยู่กินกับสามี และทำตัวเสื่อมเสีย 30 หรือถ้าผู้ชายเกิดหึงหวงเพราะสงสัยว่าเมียจะไม่ซื่อกับเขา เขาต้องนำตัวนางไปยืนต่อหน้าพระยาห์เวห์ และนักบวชจะทำพิธีต่างๆนั้นกับเมียเขาเอง 31 ถ้าผู้ชายเข้าใจผิด เขาจะไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าผู้หญิงผิดจริง นางจะต้องรับโทษ”
พวกสะดูสีมาถามเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย
(มธ. 22:23-33; ลก. 20:27-40)
18 พวกสะดูสีมาหาพระองค์ (พวกนี้ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย) พวกเขาถามว่า 19 “อาจารย์ครับ โมเสสได้เขียนสั่งพวกเราว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งภรรยาไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายนั้นแต่งงานกับหญิงม่ายคนนี้ จะได้มีลูกไว้สืบสกุลของพี่ชายของเขา 20 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 21 น้องคนที่สองก็มาแต่งงานกับแม่ม่ายของพี่ชาย และเขาก็ตายไปโดยยังไม่มีลูก น้องคนที่สามก็มาทำเหมือนกัน 22 ทำอย่างนี้จนครบทั้งเจ็ดคนโดยไม่มีใครมีลูกเลย แล้วสุดท้ายหญิงคนนี้ก็ตาย 23 ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
24 พระเยซูว่า “พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว นี่เพราะพวกคุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า 25 เมื่อคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกแล้ว แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 26 พวกคุณไม่เคยอ่านในหนังสือของโมเสสหรือ ในตอนที่พุ่มไม้ติดไฟแต่ไม่ไหม้[a] พระเจ้าพูดกับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[b] 27 พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต พวกคุณเข้าใจเรื่องนี้ผิดหมดเลย”
กฎข้อสำคัญที่สุด
(มธ. 22:34-40; ลก. 10:25-28)
28 มีครูสอนกฎปฏิบัติคนหนึ่งที่ยืนฟังพวกเขาถามตอบกันอยู่ที่นั่น เขาเห็นว่าพระเยซูตอบได้ดีมากทีเดียว จึงเข้าไปถามพระองค์ว่า “กฎทั้งหมด ข้อไหนสำคัญที่สุด”
29 พระเยซูตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘พวกอิสราเอลฟังไว้ให้ดี องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราเป็นองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียว 30 ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้าอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า’[c] 31 ข้อที่สำคัญรองลงมาคือ ‘ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’[d] ไม่มีกฎข้อไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสองข้อนี้อีกแล้ว”
32 ครูสอนกฎปฏิบัติคนนี้ก็พูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์พูดถูกต้องเลยที่ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีพระอะไรอีกแล้วนอกจากพระองค์เท่านั้น 33 และการรักพระองค์สุดใจ สุดความคิด สุดกำลัง และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง สำคัญยิ่งกว่าการนำเครื่องเผาบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆมาถวายตามกฎเสียอีก”
34 เมื่อพระเยซูเห็นเขาตอบได้อย่างเฉลียวฉลาด พระองค์ก็พูดว่า “คุณอยู่ไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีกเลย
พระเยซูถามเรื่องพระคริสต์
(มธ. 22:41-46; ลก. 20:41-44)
35 ระหว่างที่พระเยซูกำลังสอนอยู่ในวิหารนั้น พระองค์ได้ถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร ที่พวกครูสอนกฎปฏิบัติบอกว่าพระคริสต์สืบเชื้อสายมาจากดาวิด 36 ในเมื่อดาวิดเองได้พูดตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจว่า
‘พระเจ้าพูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าของท่าน’[e]
37 แม้แต่ดาวิดเองยังเรียกพระคริสต์ว่า ‘องค์เจ้าชีวิต’ เลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้อย่างไร” มีคนมากมายตั้งอกตั้งใจฟังพระองค์สอน
เยรูซาเล็มเมืองของพระเจ้า
สำหรับคนของตระกูลโคราห์ บทเพลงสดุดี
1 พระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่ สมควรได้รับการสรรเสริญยิ่งนัก
ในเมืองของพระเจ้าของข้าพเจ้า
บนภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
2 ภูเขาศิโยนสูงตระหง่านและงามสง่า
มันให้ความสุขกับคนทั่วโลก
มันเป็นเหมือนยอดเขาซาโฟน[a]
มันเป็นเมืองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
3 พระเจ้าเป็นป้อมปราการต่างๆของเมืองเยรูซาเล็ม
พระองค์ได้สำแดงตนเองว่าเป็นที่ลี้ภัย
4 พวกกษัตริย์ต่างชาติรวบรวมพล
ยกทัพขึ้นมาโจมตีเมืองนั้น
5 แต่เมื่อพวกเขาเห็นเมืองนั้นพวกเขาถึงกับตะลึงงัน
พากันแตกตื่นตกใจกลัวและวิ่งหนีกระเจิงไป
6 ความกลัวจนตัวสั่นจับใจพวกเขา
ความกลัวและความเจ็บปวดจับใจพวกเขาเหมือนผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก
7 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ใช้ลมพายุจากทางทิศตะวันออก
มาทำลายเรือสินค้าใหญ่[b] ของพวกเขาจนแตกกระจุย
8 พวกเราได้ยินเรื่องฤทธิ์ของพระเจ้ามาอย่างไร ตอนนี้พวกเราก็ได้เห็นกับตาเราอย่างนั้นในเมืองของพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
คือเมืองของพระเจ้าของพวกเรา
พระเจ้าจะทำให้มันปลอดภัยตลอดไป เซลาห์
9 ข้าแต่พระเจ้า ในวิหารของพระองค์
พวกเราระลึกถึงความรักมั่นคงของพระองค์
10 ชื่อเสียงของพระองค์แพร่กระจายไปทั่วอย่างไร
ผู้คนต่างพากันสรรเสริญพระองค์ไปทั่วโลกอย่างนั้น
มือขวาของพระองค์เต็มไปด้วยความยุติธรรม
11 ขอให้ผู้คนบนภูเขาศิโยนต่างชื่นชมยินดี
ขอให้เมืองทั้งหลาย[c] ของยูดาห์ต่างชื่นชมยินดีเพราะการตัดสินอันยุติธรรมของพระองค์
12 ให้เดินไปรอบๆเมืองศิโยน
มองดูเมืองให้ทั่ว แล้วนับหอคอยทั้งหมด
13 เพ่งดูกำแพงเมือง ชื่นชมป้อมปราการทั้งหลาย
เพื่อว่าท่านจะได้เล่าให้กับรุ่นต่อๆไปฟัง
14 เพราะ พระเจ้าองค์นี้คือพระเจ้าของพวกเราตลอดไป
พระองค์จะนำทางพวกเราตลอดกาล[d]
26 น้ำส้มสายชูทำให้เข็ดฟัน ควันทำให้แสบตา
คนขี้เกียจก็ทำให้เจ้านายของเขารู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International