Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the CSB. Switch to the CSB to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
กันดารวิถี 36 - เฉลยธรรมบัญญัติ 1

ที่ดินของลูกสาวเศโลเฟหัด

36 กิเลอาดเป็นลูกชายมาคีร์ มาคีร์เป็นลูกชายของมนัสเสห์ มนัสเสห์เป็นลูกชายของโยเซฟ พวกผู้นำของตระกูลกิเลอาด ที่เป็นลูกหลานของโยเซฟ ได้มาพูดกับโมเสสและพวกผู้นำตระกูลต่างๆของชาวอิสราเอล พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้สั่งท่าน เจ้านายของพวกเราให้แบ่งที่ดินให้กับประชาชนชาวอิสราเอลเป็นมรดก[a]ตามสลากที่โยนได้ และท่าน เจ้านายของพวกเราได้รับคำสั่งจากพระยาห์เวห์ให้มอบส่วนแบ่งที่ดินของพวกเราให้เศโลเฟหัดญาติของเราเพื่อให้กับพวกลูกสาวของเขา ถ้าลูกสาวของเขาไปแต่งงานกับคนอิสราเอลเผ่าอื่น เผ่าที่พวกนางไปแต่งงานด้วยก็จะมีที่ดินเพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งที่ดินของบรรพบุรุษเราก็จะน้อยลงเพราะถูกตัดไป ดังนั้น ส่วนแบ่งที่ดินของพวกเราที่ได้มาจากการโยนสลากก็จะมีน้อยลงเพราะถูกตัดออกไป เมื่อครบปีแห่งการปลดปล่อย ของประชาชนชาวอิสราเอล เผ่าที่พวกนางไปแต่งงานด้วยก็จะมีส่วนแบ่งที่ดินเพิ่มขึ้นเพราะมาจากส่วนแบ่งของพวกนาง แล้วส่วนแบ่งที่ดินของเผ่าของบรรพบุรุษเราก็จะน้อยลงเพราะถูกตัดไป”

ดังนั้นโมเสสจึงออกคำสั่งประชาชนชาวอิสราเอลตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ว่า “สิ่งที่ลูกหลานจากเผ่าของโยเซฟพูดมานั้นถูกต้อง และนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์สั่งลงมาเกี่ยวกับพวกลูกสาวของเศโลเฟหัด พวกนางจะแต่งงานกับใครก็ได้ที่นางต้องการ แต่ต้องเป็นคนในตระกูลเดียวกันกับพ่อพวกนาง เพื่อจะไม่มีการโอนมรดกที่ดินข้ามเผ่าของบรรพบุรุษแต่ละคน ชาวอิสราเอลทุกคนต้องรักษามรดกของเผ่าของบรรพบุรุษเขาไว้ ลูกสาวของแต่ละเผ่าของประชาชนชาวอิสราเอลที่รับมรดกส่วนแบ่งที่ดินไป ต้องแต่งงานกับคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกับพ่อของตนเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนชาวอิสราเอลแต่ละเผ่าสามารถรับช่วงมรดกที่ดินจากพ่อของเขาได้ ส่วนแบ่งที่ดินต้องไม่ถูกโอนข้ามเผ่า เพราะแต่ละเผ่าของประชาชนชาวอิสราเอลต้องรักษาส่วนแบ่งที่ดินของตนไว้”

10 ลูกสาวของเศโลเฟหัดได้ทำตามที่พระยาห์เวห์สั่งโมเสสไว้ 11 มาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ลูกสาวของเศโลเฟหัดได้แต่งงานกับลูกชายของลุงพวกนาง 12 พวกเขาแต่งงานกับตระกูลที่เป็นลูกหลานของมนัสเสห์ผู้เป็นลูกชายโยเซฟ ดังนั้นส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางจึงยังคงอยู่กับเผ่าที่เป็นตระกูลของพ่อพวกนาง

13 สิ่งเหล่านี้คือคำสั่งและระเบียบที่พระยาห์เวห์ได้ให้กับประชาชนชาวอิสราเอลผ่านทางโมเสส ในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนฝั่งตรงข้ามเยริโค

โมเสสพูดกับชาวอิสราเอล

นี่คือคำพูดที่โมเสสพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมด ตอนที่พวกเขาอยู่ที่หุบเขาจอร์แดน ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน[b] ตรงข้ามกับเมืองสูฟ และอยู่ระหว่างที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปารานกับเมืองพวกนี้คือโทเฟล ลาบัน ฮาเซโรทและดีซาหับ

การเดินทางจากภูเขาซีนาย[c] ไปถึงคาเดช-บารเนีย ผ่านทางภูเขาเสอีร์ ใช้เวลาเพียงแค่สิบเอ็ดวันเท่านั้น ในวันที่หนึ่งของเดือนที่สิบเอ็ด ในปีที่สี่สิบ โมเสสได้บอกกับชาวอิสราเอลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์สั่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โมเสสได้รบชนะกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ซึ่งปกครองเมืองเฮชโบน และกษัตริย์โอกของเมืองบาชานซึ่งปกครองอัชทาโรทในเอเดรอี โมเสสเริ่มอธิบายกฎ[d] นี้ให้กับชาวอิสราเอล ตอนที่พวกเขาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในดินแดนของชาวโมอับ โมเสสพูดว่า

“ที่ภูเขาซีนาย พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราบอกพวกเราว่า ‘พวกเจ้าอยู่ที่ภูเขานี้มานานพอแล้ว ให้เตรียมตัวและมุ่งหน้าเดินไปยังเนินเขาที่พวกอาโมไรต์[e] อยู่ และดินแดนแถบนั้นทั้งหมดที่เป็นเพื่อนบ้านของเขา ทั้งในหุบเขาจอร์แดน[f] แถบเนินเขา แถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก[g] และในเนเกบ รวมทั้งชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าไปยังดินแดนของชาวคานาอัน แคว้นเลบานอน[h] ตลอดไปจนถึงแม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำยูเฟรติส ดูสิ เราได้ยกดินแดนนั้นให้กับพวกเจ้าแล้ว เข้าไปยึดเอาซะ เป็นดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้สาบานไว้ว่าจะยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเจ้า คืออับราฮัม อิสอัคและยาโคบ รวมทั้งลูกหลานของพวกเขาด้วย’

โมเสสแต่งตั้งผู้นำ

(อพย. 18:13-27)

แล้วโมเสสก็พูดว่า ในเวลานั้น เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘ลำพังตัวเราคนเดียวไม่สามารถดูแลพวกท่านได้ทั้งหมดหรอก 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้เพิ่มจำนวนพวกท่านขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ตอนนี้พวกท่านก็มีจำนวนมากพอๆกับดวงดาวบนท้องฟ้าแล้ว 11 ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่าน เพิ่มจำนวนพวกท่านขึ้นอีกพันเท่า และขอให้พระองค์อวยพรพวกท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 12 ลำพังตัวเราคนเดียวจะไปแบกรับภาระต่างๆที่หนักอึ้ง และคดีความต่างๆของพวกท่านไหวได้ยังไง 13 ให้พวกท่านแต่ละเผ่าไปเลือกคนของท่านขึ้นมาเอง เลือกคนที่เฉลียวฉลาด เต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ แล้วเราจะแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าพวกท่าน’

14 และพวกท่านก็ได้บอกเราว่า ‘สิ่งที่ท่านบอกให้ทำนั้นดีมากเลย’

15 แล้วเราได้เอาพวกผู้นำจากเผ่าต่างๆของท่าน ที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด และมีประสบการณ์มา และแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นผู้นำของพวกท่าน มีตั้งแต่ผู้นำ[i] คนพันคน ร้อยคน ห้าสิบคน และ สิบคน รวมทั้งแต่งตั้งพวกเจ้าหน้าที่ด้วยในแต่ละเผ่าของท่าน

16 และเราได้สั่งกำชับพวกผู้พิพากษาของท่านด้วยว่า ‘ให้ฟังความของทั้งสองฝ่ายก่อน แล้วให้ตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน หรือคนอิสราเอลกับคนต่างชาติ 17 เวลาพวกท่านตัดสิน ห้ามลำเอียง ให้ฟังทั้งคนรวยและคนจนเหมือนกัน ไม่ต้องกลัวใครเลย เพราะการตัดสินนั้นมาจากพระเจ้า และถ้าเรื่องไหนยากเกินไปสำหรับท่าน ให้เอามาบอกเรา เราจะตัดสินเอง’ 18 และในตอนนั้นเราก็ได้สั่งพวกท่านไปแล้วทุกเรื่องที่พวกท่านควรทำ

คนสอดแนมไปคานาอัน

(กดว. 13:1-33)

19 พวกเราได้ทำตามคำสั่งของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา พวกเราจึงออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ผ่านที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว อย่างที่พวกท่านก็เห็นมาแล้ว ในระหว่างทางมุ่งเดินไปตามแถบเนินเขาที่ชาวอาโมไรต์อยู่ แล้วเราก็มาถึงคาเดช-บารเนีย 20 เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘พวกท่านมาถึงแถบเนินเขาที่ชาวอาโมไรต์อยู่แล้ว เป็นแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรายกให้กับพวกเรา 21 ดูสิ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ตั้งแผ่นดินนี้ไว้ตรงหน้าพวกท่านแล้ว พวกท่านขึ้นไปยึดเอาไว้เลย เหมือนกับที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษพวกท่านได้บอกไว้ ไม่ต้องกลัว อย่าท้อถอย’

22 แล้วพวกท่านทั้งหลายได้มาหาเรา พูดว่า ‘ให้พวกเราส่งคนกลุ่มหนึ่งไปก่อน ให้เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น แล้วค่อยกลับออกมาบอกพวกเราว่า ควรจะไปทางไหน และเมืองที่พวกเราจะเข้าไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’

23 เราเห็นด้วยกับความคิดนั้น เราจึงเลือกสิบสองคนมาจากพวกท่าน เผ่าละหนึ่งคน 24 พวกเขาได้ออกเดินทางไปที่เนินเขาแห่งนั้น และเข้าไปที่หุบเขาเอชโคล์แล้วทำการสำรวจ[j] ดินแดนแห่งนั้น 25 พวกเขาได้นำผลไม้ติดมือลงมาให้พวกเรา และมารายงานให้ฟังว่า ‘แผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจะให้กับพวกเรานั้นดีมาก’

26 แต่พวกท่านไม่ยอมขึ้นไปที่นั่น พวกท่านจึงขัดคำสั่งของยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 27 และเข้าไปบ่นกันในเต็นท์ของท่านว่า ‘เพราะพระยาห์เวห์เกลียดพวกเรา พระองค์ถึงได้นำพวกเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกอาโมไรต์ และถูกพวกมันทำลาย 28 แล้วทีนี้พวกเราจะหันหน้าไปทางไหน พวกพี่น้องที่เข้าไปสอดแนมทำให้พวกเราท้อถอยเสียแล้ว พวกเขาบอกว่า “พวกนั้นมีจำนวนมากกว่า และตัวสูงใหญ่กว่าพวกเรามาก เมืองเหล่านั้นก็ใหญ่โตและมีกำแพงสูงเสียดฟ้า พวกเรายังเห็นพวกยักษ์[k] ที่นั่นด้วย”’

29 เราได้บอกกับพวกท่านว่า ‘ไม่ต้องขวัญหนีดีฟ่อ ไม่ต้องกลัวพวกมันหรอก 30 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะนำหน้าท่าน และต่อสู้แทนท่าน เหมือนกับสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำต่อหน้าท่านในแผ่นดินอียิปต์ 31 ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งก็เหมือนกัน ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ได้อุ้มท่านไว้เหมือนพ่ออุ้มลูก ตลอดทางที่ท่านเดินมาจนถึงที่นี่’

32 แต่ถึงอย่างนั้น พวกท่านก็ไม่ได้ไว้วางใจพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 33 พระองค์นำหน้าท่านในการเดินทาง เพื่อหาที่ตั้งเต็นท์ให้ท่าน และพระองค์ก็นำหน้าท่านในไฟในตอนกลางคืน และในเมฆในตอนกลางวัน เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าจะไปทางไหน

คนอิสราเอลอดเข้าแผ่นดินคานาอัน

34 แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน พระองค์โกรธ และสาบานว่า 35 ‘จะไม่มีใครสักคนในรุ่นที่ชั่วร้ายนี้ ที่จะได้เห็นแผ่นดินดีนั้น ที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้กับบรรพบุรุษของเจ้า 36 นอกจากคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์จะได้เห็น เราจะยกแผ่นดินที่เขาเดินอยู่นั้นให้กับเขาและลูกหลานของเขา เพราะเขาซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์อย่างแท้จริง’

37 แม้แต่เรา พระยาห์เวห์ยังโกรธเลย ก็เพราะพวกท่านนี่แหละ พระองค์พูดกับเราว่า ‘แม้แต่เจ้าก็จะไม่ได้เข้าไปที่แผ่นดินนั้น 38 โยชูวาลูกชายของนูน ผู้ช่วยของเจ้าจะได้เข้าไปที่นั่น ให้กำลังใจกับเขา เพราะเขาจะเป็นคนแบ่งแผ่นดินนั้นแจกจ่ายให้กับชาวอิสราเอล

39 ส่วนลูกๆของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าพูดว่า จะถูกจับไปเป็นเชลยนั้น พวกนี้แหละจะได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น เพราะในวันนี้พวกลูกๆของเจ้าที่ยังไร้เดียงสา[l] และยังพึ่งตัวเองไม่ได้ เราจะให้แผ่นดินนั้นกับพวกเขาและพวกเขาก็จะได้เป็นเจ้าของมัน 40 ส่วนพวกเจ้าจะต้องหวนกลับไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ตามเส้นทางที่มุ่งไปทะเลแดง’

41 และพวกท่านก็ตอบว่า ‘พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว พวกเราจะขึ้นไปสู้รบตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสั่งพวกเราไว้’ แล้วพวกท่านก็เตรียมตัวไปรบ พวกท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆที่จะขึ้นไปบนเนินเขานั้น

42 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับเราว่า ‘บอกพวกเขาว่า ห้ามขึ้นไปบนนั้นและห้ามไปรบ เพราะเราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าฟังคำเตือนของเรา พวกเจ้าจะไม่ถูกฆ่าต่อหน้าศัตรูของพวกเจ้า’

43 และเราก็ได้บอกพวกท่านแล้วว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร แต่พวกท่านก็ไม่ยอมฟัง ขัดขืนคำเตือนของพระยาห์เวห์และบุ่มบ่ามขึ้นไปบนเนินเขานั้น 44 ชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่บนเขานั้น ก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกท่าน และขับไล่พวกท่านเหมือนฝูงผึ้งขับไล่ศัตรู พวกเขาได้ไล่บี้พวกท่านที่เสอีร์ ไปจนถึงโฮรมาห์ 45 แล้วพวกท่านก็ซมซานกลับมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ก็ไม่สนใจที่จะฟังเสียงร้องของพวกท่าน 46 แล้วพวกท่านก็อยู่ที่เคเดชเป็นเวลานานหลายวัน

ลูกา 5:29-6:11

29 แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับพระเยซูที่บ้านของเขา มีพวกคนเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก และคนอื่นๆมาร่วมงานด้วย 30 พวกฟาริสีและพวกครูสอนกฎปฏิบัติบ่นกับลูกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมพวกคุณถึงกินและดื่มกับพวกคนเก็บภาษี และพวกคนบาปแบบนี้”

31 พระเยซูก็ตอบกลับไปว่า “คนที่สบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 32 เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับตัวกลับใจ”

พระเยซูตอบคำถามเกี่ยวกับการอดอาหาร

(มธ. 9:14-17; มก. 2:18-22)

33 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ลูกศิษย์ของยอห์นถือศีลอดอาหารและอธิษฐานบ่อยๆ ลูกศิษย์ของพวกฟาริสีก็เหมือนกัน แต่ทำไมลูกศิษย์ของอาจารย์ถึงทั้งกินทั้งดื่มอยู่เรื่อย”

34 พระเยซูพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “เพื่อนเจ้าบ่าวจะอดอาหารตอนที่เลี้ยงฉลองอยู่กับเจ้าบ่าวได้หรือ 35 แต่เมื่อถึงวันนั้นที่เจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขา ในวันนั้นแหละพวกเขาจะอดอาหาร”

36 พระองค์เล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ฟัง “คงไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะรูเสื้อเก่าหรอก เพราะถ้าทำอย่างนั้น เสื้อใหม่ก็จะฉีกขาดและชิ้นผ้าใหม่ก็ไม่เข้ากับเสื้อเก่า 37 แล้วคงไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่ไปใส่ไว้ในถุงหนังเก่าหรอก ถ้าทำอย่างนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังนั้นแตก เหล้าก็จะไหลออกมาหมด และถุงหนังก็จะพังไปด้วย 38 แต่เหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ 39 ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วยังอยากดื่มเหล้าองุ่นใหม่อีก เพราะเขาจะบอกว่า ‘เหล้าองุ่นเก่าดีกว่า’”

ความคิดขัดแย้งเรื่องวันหยุดทางศาสนา

(มธ. 12:1-8; มก. 2:23-28)

ในวันหยุดทางศาสนาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ลูกศิษย์ของพระองค์ได้เด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน พวกฟาริสีบางคนจึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงทำผิดกฎของวันหยุดทางศาสนา”

พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรตอนที่เขากับลูกน้องของเขาหิวโหย เขาเข้าไปในบ้านของพระเจ้า หยิบขนมปังศักดิ์สิทธ์มากินซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ และยังส่งให้กับลูกน้องกินด้วย” พระเยซูบอกพวกฟาริสีว่า “บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา”

พระเยซูรักษาชายมือลีบในวันหยุดทางศาสนา

(มธ. 12:9-14; มก. 3:1-6)

ครั้งหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พระเยซูสั่งสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิว มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น มือขวาของเขาลีบ พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีจับตาดูว่า พระเยซูจะรักษาใครหรือเปล่า จะได้มีเรื่องกล่าวหาพระองค์ แต่พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับชายมือลีบว่า “มายืนข้างหน้านี้สิ” เขาลุกขึ้นทำตาม พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎแล้วในวันหยุดทางศาสนาควรจะทำดีหรือทำชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” 10 พระเยซูมองไปรอบๆพวกเขา แล้วพูดกับชายมือลีบว่า “ยืดมือออกสิ” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 พวกครูสอนกฎปฏิบัติกับพวกฟาริสีโกรธแค้นมาก ก็เลยปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไรดี

สดุดี 66

คำเชิญให้มาฉลองสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทำ

ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงสดุดี

ทั่วทั้งแผ่นดินโลกเอ๋ย
    โห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดีให้กับพระเจ้าเถิด
เล่นดนตรีและร้องเพลง ถวายเกียรติแด่ชื่อของพระองค์
    ถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วยการสรรเสริญเถิด
ศัตรูของพระองค์จะกลัวจนลนลานคลานเข้ามาหาพระองค์
    เพราะฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ทั่วทั้งโลกก็จะก้มกราบลงบูชาพระองค์
    พวกเขาจะร้องเพลงสรรเสริญให้กับพระองค์
    และร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์ เซลาห์

มาดูสิว่าพระเจ้าได้ทำอะไรไปบ้าง
    สิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทำไปท่ามกลางมนุษย์
พระองค์เปลี่ยนทะเลแดงให้กลายเป็นผืนดินแห้ง[a]
    คนของพระองค์เดินข้ามแม่น้ำจอร์แดน[b]
    อย่างนั้นให้พวกเราเฉลิมฉลองสิ่งที่พระองค์ได้ทำไป
พระองค์ปกครองตลอดกาลด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    พระองค์จับตาดูชนชาติต่างๆ
    ดังนั้นอย่าให้พวกกบฏคิดลุกฮือขึ้นต่อต้านพระองค์ เซลาห์

ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ให้สรรเสริญพระเจ้าของพวกเราเถิด
    เปล่งเสียงสรรเสริญพระองค์เถิด
พระองค์รักษาชีวิตของเราไว้
    พระองค์ไม่ให้เท้าของเราลื่นล้ม
10 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทดสอบพวกเรา
    พระองค์ได้หลอมพวกเราให้บริสุทธิ์เหมือนช่างเงินหลอมเงิน
11 พระองค์นำพวกเราไปติดกับดัก
    และเอาภาระหนักใส่หลังของเรา
12 พระองค์ทำให้รถรบของศัตรูวิ่งทับหัวเราไป พวกเราลุยน้ำลุยไฟ
    แต่ในที่สุด พระองค์นำพวกเราไปสู่ที่โล่งกว้างอันปลอดภัย

13-14 เมื่อข้าพเจ้าเจอกับความทุกข์ยาก
    ข้าพเจ้าได้บนบานไว้กับพระองค์
และตอนนี้ ข้าพเจ้านำเครื่องเผาบูชา
    มาแก้บนของข้าพเจ้าที่วิหารของพระองค์
15 ข้าพเจ้าถวายพวกสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องเผาบูชาให้กับพระองค์
    พร้อมกับควันจากการเผาพวกแกะตัวผู้
ข้าพเจ้าถวายพวกวัวตัวผู้กับแพะให้กับพระองค์ เซลาห์

16 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้า เข้ามาสิ
    แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังว่าพระองค์ทำอะไรให้กับข้าพเจ้าบ้าง
17 ปากของข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    ลิ้นของข้าพเจ้ายกย่องพระองค์
18 ถ้าข้าพเจ้าเพิกเฉยต่อบาปในจิตใจของข้าพเจ้า
    องค์เจ้าชีวิตก็คงไม่ได้ฟังข้าพเจ้าหรอก
19 แต่ ความจริงแล้ว พระเจ้าได้ยินข้าพเจ้า
    พระองค์ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
20 สรรเสริญพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้เมินเฉยต่อคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
    และไม่ได้ยับยั้งความรักมั่นคงของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า

สุภาษิต 11:24-26

24 คนหนึ่งให้อย่างใจกว้าง เขาก็ยิ่งรวยขึ้น
    อีกคนหนึ่งไม่ยอมให้ สุดท้ายเขาก็ยากจน
25 คนที่มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะเจริญรุ่งเรือง
    และคนที่ช่วยเหลือคนอื่น เขาเองก็จะได้รับความช่วยเหลือ
26 คนที่กักตุนข้าว จะถูกคนสาปแช่ง
    แต่คนที่ขายข้าวย่อมได้รับคำอวยพร

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International