Print Page Options Listen to Reading
Previous Prev Day Next DayNext

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the GNT. Switch to the GNT to read along with the audio.

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 5:1-7:15

เมื่อพวกกษัตริย์แห่งอาโมไรต์ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ทั้งหลายของชาวคานาอันที่อยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ยินว่าพระยาห์เวห์ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำจอร์แดนแห้งลงต่อหน้าประชาชนชาวอิสราเอล จนพวกเขาได้ข้ามฟากไปจนหมด เพราะอิสราเอลนี้ทำให้ใจของกษัตริย์เหล่านั้นฝ่อไปและหมดกำลังใจ

ชาวอิสราเอลทำพิธีขลิบ

เวลานั้นพระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “ให้เอาหินเหล็กไฟมาทำพวกมีดและทำพิธีขลิบให้กับชาวอิสราเอลอีกเป็นครั้งที่สอง[a]

ดังนั้นโยชูวาจึงทำมีดขึ้นหลายเล่มจากหินเหล็กไฟ และทำพิธีขลิบให้ชาวอิสราเอลที่กิเบอัธหะอาราโลท[b]

เหตุผลที่โยชูวาได้ทำพิธีขลิบให้กับพวกเขา เป็นเพราะพวกผู้ชายทั้งหมดในหมู่ประชาชนที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ คือทุกคนที่เป็นทหารได้นั้น ได้ตายไปหมดแล้วในช่วงที่พวกเขาเดินทางอยู่ในทะเลทราย หลังจากที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ ถึงแม้ว่าผู้ชายทั้งหมดที่ออกมาจากประเทศอียิปต์ได้ทำพิธีขลิบกันหมดแล้ว แต่คนที่เกิดในทะเลทรายในระหว่างการเดินทาง หลังจากออกมาจากอียิปต์แล้วนั้น ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบกันเลย ชาวอิสราเอลได้เดินทางไปในทะเลทรายเป็นเวลาสี่สิบปี จนชนชาติทั้งหมด คือพวกทหารที่ได้ออกมาจากอียิปต์เสียชีวิตกันไปหมด เพราะพวกเขาไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์ พระองค์ได้สาบานกับพวกเขาว่า พระองค์จะไม่ยอมให้พวกเขาได้เห็นแผ่นดินที่พระองค์เคยสาบานกับบรรพบุรุษ[c] ของพวกเขาว่าจะยกให้กับพวกเรา ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มาก[d] ดังนั้น พระองค์จึงได้ยกพวกลูกชายของพวกเขาขึ้นมาแทนที่ และคนพวกนี้นี่แหละที่โยชูวาทำพิธีขลิบให้ เพราะพวกเขายังไม่เคยเข้าพิธีขลิบมาก่อนในระหว่างการเดินทาง เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้รับการขลิบเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปที่พักของตนในค่ายจนกว่าจะหายดี

เทศกาลปลดปล่อยครั้งแรก

พระยาห์เวห์ได้พูดกลับโยชูวาว่า “วันนี้เราได้กลิ้งความอดสูที่เกิดในอียิปต์พ้นไปจากพวกเจ้าแล้ว” ดังนั้น สถานที่นี้จึงมีชื่อว่า กิลกาล[e] มาจนถึงทุกวันนี้

10 ขณะที่ชาวอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล พวกเขาได้ฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย ในเย็นวันที่สิบสี่ของเดือน ตรงที่ราบของเมืองเยริโค 11 วันรุ่งขึ้นหลังจากเทศกาลวันปลดปล่อย พวกเขาได้กินผลผลิตที่เกิดจากแผ่นดิน คือ ขนมปังไร้เชื้อและข้าวคั่ว 12 ในวันนั้นที่พวกเขาได้กินผลผลิตจากแผ่นดิน มานาก็หยุดตก ต่อจากนั้นมาชาวอิสราเอลก็ไม่ได้กินมานาอีกเลย ในปีนั้นพวกเขาได้กินพืชผลที่เก็บเกี่ยวจากแผ่นดินคานาอัน

บุรุษผู้ถือดาบในนิมิตของโยชูวา

13 มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อโยชูวาอยู่แถวชานเมืองเยริโค เขาได้เงยหน้าขึ้นเห็นชายคนหนึ่งที่มีดาบที่ชักออกมาแล้วอยู่ในมือ ยืนอยู่ต่อหน้าท่าน โยชูวาเข้าไปหาชายคนนั้นและถามว่า “ท่านอยู่ฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรู”

14 ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่เรามาที่นี่ในฐานะแม่ทัพของกองทัพแห่งพระยาห์เวห์” ดังนั้น โยชูวาจึงก้มหน้ากับพื้นกราบไหว้ชายคนนั้น และพูดว่า “เจ้านาย[f]ของข้าพเจ้า ท่านจะสั่งให้ผู้รับใช้ของท่านทำอะไรครับ”

15 แม่ทัพของกองทัพแห่งพระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ถอดรองเท้าของเจ้าออก เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” โยชูวาก็ทำตามนั้น

การยึดเมืองเยริโค

เป็นเพราะชาวอิสราเอล ประตูเมืองเยริโคจึงถูกปิดลงและมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่มีใครเข้าหรือออกจากเมืองเลย

พระยาห์เวห์พูดกับโยชูวาว่า “ดูเถิด เราได้ยกเมืองเยริโคให้กับเจ้าแล้ว ทั้งกษัตริย์และเหล่าทหารกล้าของมันด้วย พวกเจ้า คือกองทหารทั้งหมดต้องเดินขบวนไปรอบๆเมืองหนึ่งรอบ เจ้าต้องทำอย่างนี้หกวัน ให้นักบวชเจ็ดคนถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบศักดิ์สิทธิ์ ในวันที่เจ็ดให้พวกเจ้าเดินรอบเมืองเจ็ดรอบ และให้พวกนักบวชเป่าแตรเขาแกะไปด้วย เมื่อเขาเป่าแตรเสียงยาว เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายได้ยินเสียงแตรนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งหมดโห่ร้องเสียงดัง และกำแพงก็จะพังราบลงมา แล้วทุกคนก็จะบุกเข้าไปตรงหน้า”

โยชูวาลูกชายของนูนจึงได้เรียกพวกนักบวชมาสั่งว่า “ให้ยกหีบที่เก็บข้อตกลงขึ้น และให้นักบวชเจ็ดคนถือแตรเขาแกะคนละอัน นำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ไป”

โยชูวาได้สั่งกับประชาชนว่า “ให้เคลื่อนขบวนไปข้างหน้าและเดินแถวไปรอบๆเมือง ให้ทหารที่ติดอาวุธเดินนำหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์”

ทุกอย่างเป็นไปตามที่โยชูวาได้สั่งกับประชาชนคือ นักบวชเจ็ดคนที่ถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ และเป่าแตรไป และหีบที่เก็บข้อตกลงของพระยาห์เวห์ได้เคลื่อนตามพวกเขาไป พวกทหารเดินนำหน้าพวกนักบวชที่กำลังเป่าแตรอยู่ และมีกองระวังหลังเดินรั้งท้ายหีบนั้น และเขาแกะก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 10 โยชูวาได้สั่งประชาชนว่า “อย่าได้โห่ร้อง หรือให้ใครได้ยินเสียงของท่าน และอย่าให้คำพูดหลุดออกมาจากปากท่าน จนกว่าจะถึงวันที่เราจะบอกให้พวกท่านโห่ร้อง เมื่อนั้นพวกท่านถึงค่อยโห่ร้องออกมา”

11 ดังนั้น โยชูวาให้นำหีบของพระยาห์เวห์ออกไปวนรอบเมืองหนึ่งรอบ แล้วพวกเขาก็กลับเข้ามาในค่าย และค้างคืนอยู่ในค่ายนั้น

12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และพวกนักบวชก็ยกหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นแบก 13 นักบวชเจ็ดคนที่ถือแตรเขาแกะคนละอัน เดินนำหน้าหีบของพระยาห์เวห์ไป และเป่าแตรไปเรื่อยๆมีทหารเดินอยู่ข้างหน้าพวกเขา และมีกองระวังหลังเดินรั้งท้ายอยู่หลังหีบของพระยาห์เวห์ เขาแกะก็ถูกเป่าไปเรื่อยๆ 14 ในวันที่สองนั้น พวกเขาเดินรอบเมืองหนึ่งรอบ แล้วก็กลับเข้าค่าย พวกเขาทำอย่างนี้จนครบหกวัน

15 ในวันที่เจ็ด พวกเขาลุกขึ้นเมื่อท้องฟ้าเริ่มทอแสง และได้เดินขบวนไปรอบๆเมืองอย่างเคย แต่วันนี้เดินเจ็ดรอบ เฉพาะวันนี้วันเดียวพวกเขาเดินไปรอบเมืองเจ็ดรอบ 16 เมื่อถึงรอบที่เจ็ด พวกนักบวชก็เป่าแตรเขาแกะขึ้น โยชูวาได้พูดกับประชาชนว่า “โห่ร้องเถิด เพราะพระยาห์เวห์ได้ยกเมืองนี้ให้กับพวกท่านแล้ว 17 เมืองทั้งเมืองและทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองนี้จะต้องถูกทำลายให้หมดสิ้นเพื่อเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ เว้นแต่โสเภณีที่ชื่อราหับและคนทั้งหมดที่อยู่กับนางในบ้านของนางเท่านั้นที่จะรอดชีวิต เพราะนางได้ให้ที่หลบซ่อนแก่พวกผู้สอดแนมที่เราได้ส่งไป 18 อย่าไปแตะต้องสิ่งที่จะต้องทำลายเพื่อถวายให้กับพระยาห์เวห์นั้น เพื่อท่านจะได้ไม่เกิดความโลภ แล้วเก็บส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องทำลายให้หมดสิ้นนั้นกลับมา ซึ่งจะทำให้ค่ายของชาวอิสราเอลต้องถูกทำลายไป และพวกท่านก็จะเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากนั้น 19 แต่บรรดาเงิน ทอง และสิ่งของที่ทำจากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพระยาห์เวห์ ให้นำพวกมันไปเก็บไว้ในคลังสมบัติของพระยาห์เวห์”

20 ดังนั้นประชาชนจึงโห่ร้อง และพวกนักบวชก็ได้เป่าแตรขึ้น ทันทีที่ประชาชนได้ยินเสียงแตร พวกเขาก็โห่ร้องเสียงดัง กำแพงก็พังทลายลง ทหารก็บุกตรงเข้าไปในเมืองและยึดเมืองไว้ได้ 21 พวกเขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองด้วยคมดาบ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ รวมทั้งวัว แกะและลา

22 โยชูวาได้สั่งชายสองคนที่เขาเคยส่งเข้ามาสอดแนมว่า “ให้เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีคนนั้น และนำตัวนางรวมทั้งคนอื่นๆที่อยู่กับนางออกมา ดังที่พวกท่านได้เคยสัญญาไว้กับนาง”

23 ดังนั้น ชายหนุ่มทั้งสองที่เคยเป็นผู้สอดแนมจึงได้เข้าไปในบ้านของราหับ และได้นำตัวราหับ พ่อแม่ พี่น้อง และทุกคนที่อยู่ที่นั่นกับนางออกมา พวกเขาได้พาญาติๆทั้งหมดของนางไปไว้ที่นอกค่ายของอิสราเอล

24 พวกเขาจึงได้จุดไฟเผาเมือง และทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนั้น ส่วนเงิน ทอง เครื่องใช้ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์และเหล็ก พวกเขาได้นำมาไว้ในคลังสมบัติในบ้านของพระยาห์เวห์ 25 แต่โยชูวาได้ไว้ชีวิตราหับที่เป็นโสเภณีและครอบครัวทั้งหมดของนาง รวมทั้งทุกคนที่อยู่กับนาง และพวกลูกหลานของนาง[g] ก็ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้[h] เพราะนางได้ซ่อนตัวพวกคนส่งข่าวที่โยชูวาได้ส่งเข้าไปสอดแนมในเมืองเยริโค

26 แล้วโยชูวาได้สาบานไว้ว่า

“ขอให้ใครก็ตามที่พยายามสร้างเมืองเยริโคนี้ขึ้นมาใหม่
    ถูกสาปแช่งต่อหน้าพระยาห์เวห์
ถ้าเขาวางรากฐานของเมืองนี้
    ก็ขอให้ลูกชายคนแรกของเขาตาย
ถ้าเขาตั้งประตูเมืองขึ้น
    ก็ขอให้ลูกชายคนเล็กของเขาตาย”[i]

27 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้อยู่กับโยชูวา และชื่อเสียงของท่านก็ได้เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน

บาปของอาคาน

แต่ชาวอิสราเอลไม่เชื่อฟังคำสั่งในเรื่องสิ่งของที่ต้องถูกทำลาย อาคานลูกชายของคารมีที่เป็นลูกชายของศับดีที่เป็นลูกชายของเศราห์จากเผ่ายูดาห์ ได้แอบเอาของบางส่วนมาจากสิ่งต่างๆที่ต้องถูกทำลาย ดังนั้นความโกรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล

ฝ่ายโยชูวาได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองเยริโคไปยังเมืองอัย[j] ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองเบธาเวน ทางด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล โยชูวาบอกพวกเขาว่า “ขึ้นไปสอดแนมแผ่นดินนั้นมา” ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปสอดแนมเมืองอัย

แล้วพวกเขาได้กลับมารายงานโยชูวาว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนทั้งหมดขึ้นไปต่อสู้กับเมืองอัย ให้ใช้คนแค่สองสามพันคนขึ้นไปตีเมืองอัยก็พอ อย่าให้ประชาชนทั้งหมดต้องเสียแรงขึ้นไปถึงที่นั่นเลย เพราะเมืองอัยมีประชาชนน้อย”

ประชาชนประมาณสามพันคนจึงได้เดินทางขึ้นไปที่เมืองอัย แต่พวกเขาก็ต้องถูกชาวเมืองอัยตีจนแตกหนีกลับมา และถูกฆ่าตายประมาณสามสิบหกคน และชาวเมืองอัยยังไล่ล่าชาวอิสราเอลตั้งแต่ที่หน้าประตูเมืองไปจนถึงเหมืองหิน[k] และฆ่าพวกเขาที่ทางลาดแห่งนั้น

ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงกลัวจนจิตใจหลอมละลายไปอย่างน้ำ โยชูวาได้ฉีกเสื้อผ้าของเขาและซบหน้าลงบนพื้นดินต่อหน้าหีบของพระยาห์เวห์จนถึงเวลาเย็น พร้อมๆกับพวกผู้อาวุโสของชาวอิสราเอล พวกเขาต่างก็เอาฝุ่นโปรยลงบนหัวตัวเอง

โยชูวาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต พระองค์นำประชาชนทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาทำไมกัน เพื่อให้ชาวอาโมไรต์ทำลายล้างพวกเราอย่างนั้นหรือ เสียดายจริงๆพวกเราน่าจะพอใจที่จะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนมากกว่า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ในเมื่อชาวอิสราเอลได้หันหลังหนีจากศัตรูเสียแล้ว ชาวคานาอัน และบรรดาประชาชนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ จะได้ยินเรื่องนี้และจะพากันมาปิดล้อมและลบล้างพวกเราไปจากแผ่นดินโลก เมื่อถึงขั้นนั้น พระองค์จะทำอะไรเพื่อกู้ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

10 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดกับโยชูวาว่า “ลุกขึ้น เจ้าจะซบหน้าอยู่อย่างนี้ทำไม 11 ชาวอิสราเอลได้ทำบาป พวกเขาได้ละเมิดข้อตกลงที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ พวกเขาได้เอาของบางส่วนที่เราสั่งให้ทำลาย พวกเขาได้ขโมยพวกมันไปและโกหก พวกเขาได้เอาสิ่งเหล่านั้นไปรวมไว้กับของของพวกเขา 12 ชาวอิสราเอลก็เลยไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ พวกเขาวิ่งหนีจากศัตรู เพราะพวกเขาเองได้กลายเป็นสิ่งที่จะต้องถูกทำลายให้กับเรา เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป นอกจากว่าพวกเจ้าจะเอาของเหล่านั้นที่ต้องทำลาย ออกไปเสียจากพวกเจ้า

13 ให้ไปชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และพูดว่า ‘ให้ชำระตัวของพวกท่านไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวอิสราเอลได้พูด “ชาวอิสราเอล ท่ามกลางพวกเจ้ายังมีสิ่งของที่เราได้สั่งให้ทำลายเก็บไว้อยู่ เจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ศัตรูได้ จนกว่าพวกเจ้าจะเอาสิ่งเหล่านั้นที่เราได้สั่งให้ทำลายออกไปเสียจากพวกเจ้า”

14 ในตอนเช้า ให้พวกเจ้าเข้ามาทีละเผ่า และเผ่าที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละตระกูล ตระกูลที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวที่พระยาห์เวห์เลือก ก็ให้เข้ามาทีละคน 15 คนใดที่ถูกจับได้ว่ามีสิ่งเหล่านั้นที่ต้องถูกทำลาย จะต้องถูกเผาไปพร้อมๆกับทุกสิ่งที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดข้อตกลงของพระยาห์เวห์และได้ทำสิ่งที่น่าละอายในอิสราเอล’”

ลูกา 15

ความดีใจในสวรรค์

(มธ. 18:12-14)

15 ในเวลานั้นมีพวกเก็บภาษี[a] และพวกคนบาปทั้งหลาย ต่างก็รุมล้อมกันเข้ามาฟังพระเยซูสั่งสอน พวกฟาริสีและครูสอนกฎปฏิบัติก็บ่นกันว่า “คนนี้ยอมต้อนรับคนบาปและยังกินอาหารกับพวกเขาด้วย”

พระเยซูจึงเล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ฟังว่า “สมมุติว่า พวกคุณคนหนึ่งมีแกะอยู่หนึ่งร้อยตัว แล้วตัวหนึ่งหลงหายไป เขาจะไม่ทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาแกะตัวที่หายไปจนกว่าจะพบหรือ เมื่อพบแกะตัวนั้นแล้วเขาก็ดีใจมาก แบกมัน กลับมาบ้าน แล้วเรียกเพื่อนบ้านเพื่อนฝูงมาพร้อมหน้ากันและบอกว่า ‘มาร่วมฉลองกันหน่อย เพราะฉันพบแกะที่หลงหายไปแล้ว’ เราจะบอกให้รู้ว่า ในสวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับตัวกลับใจ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่ามีคนดีเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องกลับตัวกลับใจ”

“สมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงิน[b] อยู่สิบเหรียญ แล้วทำตกหายไปหนึ่งเหรียญ นางจะไม่จุดตะเกียงและกวาดบ้าน ค้นหาทุกซอกทุกมุมจนกว่าจะพบหรือ เมื่อหาเหรียญนั้นเจอแล้ว นางก็เชิญเพื่อนบ้านเพื่อนฝูงมาพร้อมหน้า และพูดว่า ‘มาร่วมฉลองกันหน่อย เพราะฉันพบเหรียญที่หล่นหายไปแล้ว’ 10 เราจะบอกให้รู้ว่า พระเจ้าก็ชื่นชมยินดีอย่างนั้นเหมือนกันต่อหน้าพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับตัวกลับใจ”

พ่อที่มีใจเมตตา

11 พระเยซูพูดว่า “ชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน 12 ลูกคนเล็กพูดว่า ‘พ่อครับ ช่วยแบ่งสมบัติส่วนที่เป็นของลูกให้ด้วย’ พ่อจึงแบ่งสมบัติให้กับลูกชายทั้งสองไป 13 หลังจากนั้นไม่นาน ลูกคนเล็กก็รวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา เดินทางไปเมืองไกล และเขาก็ใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย 14 จนหมดเนื้อหมดตัว พอเกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วแผ่นดินนั้น เขาก็เริ่มไม่มีอะไรจะกิน 15 เขาก็เลยไปรับจ้างทำงานกับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง เขาถูกส่งให้ไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาหิวมาก อยากจะกินอาหารที่หมูกิน แต่ก็ไม่มีใครให้อะไรเขากินเลย 17 ในที่สุด เขาก็สำนึกตัวได้และพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อเรามีอาหารกินอย่างเหลือเฟือ แต่ดูเราสิ กำลังจะอดตายอยู่แล้ว 18 เราจะกลับไปหาพ่อและพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ลูกได้ทำบาปต่อพระเจ้าและต่อตัวพ่อ 19 ลูกไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ให้ลูกเป็นลูกจ้างคนหนึ่งของพ่อเถอะครับ”’

20 ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นกลับไปหาพ่อของเขา ขณะที่เขายังอยู่แต่ไกล พ่อของเขาก็มองเห็นและเวทนาสงสาร วิ่งออกไปสวมกอดและจูบเขา 21 ลูกชายจึงพูดว่า ‘พ่อครับ ลูกได้ทำบาปต่อพระเจ้าและต่อพ่อ ลูกไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22 แต่พ่อหันไปสั่งคนใช้ว่า ‘เร็วๆเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาใส่ให้เขา เอาแหวนมาสวมนิ้วเขาและเอารองเท้ามาใส่ให้เขาด้วย 23 แล้วไปฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีมาเลี้ยงฉลองกัน 24 เพราะลูกข้าคนนี้ ได้ตายไปแล้วแต่ฟื้นขึ้นมาใหม่ เคยหลงหายไปแต่ตอนนี้พบแล้ว’ แล้วพวกเขาก็เลี้ยงฉลองกัน

25 เมื่อลูกชายคนโตที่ทำงานอยู่ในทุ่งกลับมาใกล้จะถึงบ้าน เขาได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงกัน 26 จึงเรียกคนใช้เข้าไปถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ 27 คนใช้จึงตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาบ้านด้วยความปลอดภัย พ่อของท่านก็เลยให้ฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีเลี้ยงฉลองกัน’ 28 พี่ชายโกรธมากและไม่ยอมเข้าไปในงานเลี้ยง พ่อเขาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไปข้างใน 29 แต่เขาตอบพ่อไปว่า ‘ดูเอาเถอะ ผมรับใช้พ่อมาหลายปี และไม่เคยขัดคำสั่งพ่อเลย แต่พ่อยังไม่เคยให้อะไรผมเลย แม้แต่แพะสักตัวเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูงก็ไม่มี 30 แต่พอไอ้ลูกของพ่อคนนี้กลับมา หลังจากที่ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อไปกับหญิงโสเภณีจนหมดเกลี้ยง พ่อก็ฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีฉลองให้กับมัน’ 31 พ่อจึงพูดว่า ‘ลูกรัก ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว 32 แต่พวกเราควรจะดีใจและเฉลิมฉลองกัน เพราะน้องตายไปแล้วแต่ฟื้นขึ้นมาใหม่ หลงหายไปแล้วแต่กลับพบกันอีก’”

สดุดี 81

เพลงแห่งเทศกาล

ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องเพลงนี้ตามทำนองกิททีธ[a] บทเพลงของอาสาฟ

ให้ร้องเพลงด้วยความยินดีให้กับพระเจ้าผู้ให้พละกำลังกับพวกเรา
    ให้โห่ร้องคำสรรเสริญให้กับพระเจ้าของยาโคบ
ให้เริ่มบรรเลงดนตรี ตีกลองรำมะนา
    ให้ดีดพิณสี่สายและพิณสิบสายเถิด
ให้เป่าแตรเขาแกะทั้งในคืนวันเพ็ญใหม่[b] และในคืนวันเพ็ญเต็มดวง[c]
    ซึ่งเป็นคืนที่งานเทศกาลของพวกเราเริ่มต้น
การเฉลิมฉลองเทศกาลเป็นกฎสำหรับคนอิสราเอล
    และเป็นคำสั่งจากพระเจ้าของยาโคบ
พระเจ้าให้กฎเกณฑ์นี้กับครอบครัวของโยเซฟ
    ตอนที่พวกเขาออกมาจากอียิปต์

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน
เสียงนั้นพูดว่า “เราปลดภาระออกจากบ่าของเจ้า
    และเอาตะกร้าที่หนักอึ้งออกจากมือทั้งสองข้างของเจ้า
เมื่อเจ้าเจอกับความทุกข์ยาก เจ้าเรียกหาเราและเราก็ช่วยกู้เจ้า
    เราตอบเจ้าจากเมฆครึ้มฟ้าคะนอง
    เราได้ทดลองเจ้าที่แหล่งน้ำเมรีบาห์” เซลาห์

คนของเรา ฟังเราให้ดี เราจะให้คำเตือนกับเจ้า
    อิสราเอลเอ๋ย เราหวังเหลือเกินว่าเจ้าจะฟังเรา
อย่าได้มีพระเจ้าอื่นในหมู่พวกเจ้า
    อย่าได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าของคนต่างชาติ
10 เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
    เราคือผู้ที่นำเจ้าออกมาจากอียิปต์
    อ้าปากของเจ้าให้กว้าง และเราจะเติมให้เต็ม

11 แต่คนของเราไม่ยอมฟังเสียงของเรา
    ชาวอิสราเอลไม่ยอมทำตามสิ่งที่เราบอก
12 เราก็เลยปล่อยให้พวกเขาไปตามทางที่ดื้อรั้นของพวกเขา
    และทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากทำ
13 ถ้าเพียงแต่คนของเราฟังเสียงเรา
    ถ้าเพียงแต่คนอิสราเอลจะเดินในทางทั้งหลายของเรา
14 เราก็จะปราบศัตรูของพวกเขาในไม่ช้า
    และจะลงโทษคู่ต่อสู้ของพวกเขา
15 เราจะบีบบังคับคนที่เกลียดชังเรา ให้ต้องมายอมจำนนต่อเรา
    และพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้าตลอดไป
16 แต่อิสราเอล เราจะเลี้ยงเจ้าด้วยข้าวสาลีที่ดีที่สุด
    และเราจะให้เจ้าอิ่มหนำด้วยน้ำเชื่อมผลไม้ที่ไหลออกมาจากหิน

สุภาษิต 13:1

13 ลูกชายที่ฉลาดย่อมฟังคำสั่งสอนของพ่อ
    แต่คนหยิ่งจองหองไม่ยอมฟังคำตักเตือน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International