The Daily Audio Bible
Today's audio is from the CSB. Switch to the CSB to read along with the audio.
อาบีเมเลคสู้กับชาวเชเคม
22 อาบีเมเลคปกครองชาวอิสราเอลอยู่สามปี 23 แต่พระเจ้าได้ส่งวิญญาณชั่วมาทำให้อาบีเมเลคกับพวกผู้นำชาวเชเคมเกลียดกัน และพวกผู้นำเชเคมก็ก่อการกบฏต่อเขา 24 ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้นกับพวกเขา เหมือนที่เขาทำกับลูกของเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนนั้น และพระเจ้าต้องการให้เลือดของทั้งเจ็ดสิบคนนั้นตกลงบนอาบีเมเลคพี่น้องของพวกเขา เพราะอาบีเมเลคเป็นคนฆ่าพี่น้องพวกนั้นของเขา และพระเจ้าต้องการให้เลือดนั้นตกกับพวกผู้นำของเชเคมด้วย เพราะมีส่วนสนับสนุนให้อาบีเมเลคฆ่าพวกพี่น้องของตัวเอง
25 ดังนั้นพวกผู้นำของเชเคม จึงได้วางคนไว้ซุ่มโจมตีอาบีเมเลคบนพวกยอดเขา และพวกเขาก็ปล้นทุกคนที่ผ่านมาทางนั้น และมีคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาบีเมเลครู้ 26 เมื่อกาอัลลูกชายของเอเบคกับญาติๆของเขาย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเชเคม พวกผู้นำของเชเคมก็ไว้ใจเขา 27 วันหนึ่งชาวเชเคมก็ออกไปในทุ่งนา แล้วไปเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่นของพวกเขาและย่ำองุ่นเพื่อทำเหล้าองุ่น และพวกเขาก็เฉลิมฉลองกัน พวกเขาเข้าไปในวิหารของพระของพวกเขาและดื่มกินกัน และสาปแช่งอาบีเมเลค
28 กาอัลลูกชายเอเบคพูดว่า “อาบีเมเลคเป็นใครกัน เราชาวเชเคมถึงต้องไปรับใช้มัน มันเป็นลูกของเยรุบบาอัลไม่ใช่หรือ และเศบุลก็เป็นเจ้าหน้าที่ของมัน มารับใช้คนของฮาโมร์[a] พ่อของเชเคมกันดีกว่า ทำไมเราต้องไปรับใช้อาบีเมเลคด้วย 29 ถ้าคนเมืองนี้อยู่ใต้การปกครองของข้า ข้าจะถอดอาบีเมเลค” แล้วเขาก็ท้าอาบีเมเลคว่า “เตรียมกองทัพของเจ้า แล้วออกมาสู้กับข้า”
30 เศบุล เจ้าเมืองได้ยินสิ่งที่กาอัลลูกชายเอเบคพูดก็โกรธ 31 เขาจึงส่งพวกผู้ส่งข่าวไปหาอาบีเมเลคที่เมืองอารูมาห์[b] พวกเขาบอกว่า
“ดูสิ กาอัลลูกชายเอเบคและพวกญาติๆของเขาได้มาเมืองเชเคม และฟังให้ดีนะ พวกเขาได้ยุแหย่ให้ชาวเมืองต่อต้านท่าน 32 ดังนั้น ตอนนี้ ให้ท่านและกองทัพที่อยู่กับท่าน ลุกขึ้นในตอนกลางคืน และให้มานอนคอยดักซุ่มอยู่ในท้องทุ่ง 33 พอถึงตอนเช้า ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ให้ท่านจัดแจงรีบบุกเข้าไปในเมือง และเมื่อกาอัลกับกองทัพที่อยู่กับเขา ออกมาต่อสู้กับท่าน ก็จัดการกับเขาได้ตามใจชอบเลย”
34 ดังนั้นอาบีเมเลคและกองทัพของเขาจึงลุกขึ้นในตอนกลางคืน และแบ่งออกเป็นสี่กอง ไปคอยดักซุ่มชาวเชเคมอยู่ 35 เมื่อกาอัลลูกชายเอเบคออกมายืนที่ประตูทางเข้าเมือง อาบีเมเลคและกองทัพของเขาก็ลุกขึ้นจากที่ซ่อน
36 เมื่อกาอัลเห็นกองทัพ เขาพูดกับเศบุลว่า “ดูสิ มีคนกำลังวิ่งลงมาจากยอดเขา”
เศบุลตอบเขาว่า “ท่านเห็นเงาของภูเขาเป็นคน”
37 กาอัลพูดอีกว่า “ดูสิ มีคนกำลังวิ่งลงมาจากสะดือแผ่นดิน[c] และอีกกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมาจากต้นโอ๊กของพวกหมอดู”
38 เศบุลพูดกับเขาว่า “ปากที่ขี้คุยของท่านหายไปไหนแล้ว ท่านพูดว่าอาบีเมเลคเป็นใคร เราถึงจะต้องไปรับใช้มัน คนพวกนี้ไม่ใช่หรือ ที่ท่านเยาะเย้ย ออกไปสู้กับพวกเขาสิ”
39 ดังนั้นกาอัลจึงนำหน้าพวกผู้นำของเชเคม ออกไปต่อสู้กับอาบีเมเลค 40 อาบีเมเลคไล่ตามกาอัล และกาอัลก็หนีไปต่อหน้าเขา มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ตลอดไปจนถึงประตูทางเข้าเมือง 41 ดังนั้นอาบีเมเลคจึงนั่งปกครองอยู่ที่เมืองอารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับพวกญาติๆของเขาออกไปจากเชเคม
42 วันต่อมาชาวเมืองได้ออกไปที่ท้องทุ่ง และมีคนเอาเรื่องนี้มาบอกอาบีเมเลค 43 เขาจึงแบ่งกองทัพของเขาออกเป็นสามกลุ่ม ไปคอยแอบซุ่มอยู่ในท้องทุ่ง เมื่อเขามองเห็นชาวเมืองออกมาจากเมือง เขาก็ลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา 44 อาบีเมเลคกับทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่กับเขาก็รีบบุกเข้าไป และยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าเมือง ส่วนทหารอีกสองกลุ่มก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมดที่อยู่ในท้องทุ่ง
45 อาบีเมเลคได้ต่อสู้กับเมืองเชเคมตลอดทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ยึดเมืองได้ และฆ่าคนที่อยู่ในเมืองนั้น พร้อมกับทำลายเมืองทิ้งไป และโปรยเกลือลงไป 46 เมื่อผู้นำที่อยู่ในหอคอยเชเคมได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็หนีเข้าไปอยู่ในส่วนที่แข็งแรงกว่าในวิหารของเอลเบรีท[d] 47 มีคนมาบอกอาบีเมเลคว่าพวกผู้นำของหอคอยเชเคมรวมตัวกันอยู่
48 ดังนั้นอาบีเมเลคพร้อมกับทหารที่อยู่กับเขา จึงขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน เขาเอาพวกขวานไปด้วย และเขาก็ตัดไม้มากองหนึ่ง แล้วแบกไว้บนบ่ากลับมา เขาบอกกับทหารที่อยู่กับเขาว่า “รีบๆทำตามอย่างข้า” 49 แล้วทหารทุกคนก็ตัดไม้มาคนละกอง และตามอาบีเมเลคไป แล้วพวกเขาก็เอาไม้ไปวางพิงไว้ตรงห้องที่แข็งแรงที่สุดของวิหารของเอลเบรีท แล้วจุดไฟเผา ทำให้คนเชเคมที่อยู่ในห้องที่แข็งแรงนั้นตายกันหมด ทั้งชายและหญิงประมาณหนึ่งพันคน
50 จากนั้นอาบีเมเลคก็ไปเมืองเธเบศ และล้อมเมืองและยึดเมืองเอาไว้ได้ 51 แต่ในเมืองมีป้อมที่แข็งแรงอยู่ ชาวเมืองทั้งชายและหญิงรวมทั้งผู้นำของเมืองนั้นก็หนีกันไปอยู่ที่นั่น และปิดประตูขังตัวเองอยู่ข้างใน และพวกเขาก็ขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าของป้อม 52 อาบีเมเลคมาถึงป้อมและต่อสู้กัน และเข้าปะชิดทางเข้าของป้อมเพื่อเอาไฟเผามัน 53 แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งโยนโม่หินลงมาบนหัวของอาบีเมเลคและทำให้กะโหลกของเขาแตก
54 อาบีเมเลครีบเรียกชายหนุ่มที่ถืออาวุธของเขาเข้ามาและบอกกับชายหนุ่มนั้นว่า “ชักดาบของเจ้าออกมาฆ่าเราซะ เพื่อคนจะได้ไม่พูดถึงเราว่า ‘เขาถูกผู้หญิงฆ่าตาย’” ดังนั้นคนรับใช้หนุ่มคนนั้นของเขาก็แทงเขาและเขาก็ตาย
55 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคตายแล้ว พวกเขาต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปที่อยู่ของตน 56 ดังนั้นพระเจ้าได้ตอบแทนความชั่วร้ายของอาบีเมเลคที่เขาทำต่อพ่อของเขา ตอนที่ฆ่าพี่น้องทั้งเจ็ดสิบคนของเขาเอง 57 และพระเจ้าได้ตอบแทนความชั่วร้ายทั้งหมดของชาวเชเคม คำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็เกิดขึ้นจริง
โทลาผู้นำ
10 หลังจากอาบีเมเลคตายแล้ว โทลาก็ขึ้นมาช่วยกู้คนอิสราเอล โทลาเป็นลูกชายของปูอาห์ ปูอาห์เป็นลูกของโดโด โทลามาจากเผ่าอิสสาคาร์ เขาอาศัยอยู่ที่ชามีร์ ในแถบเทือกเขาเอฟราอิม 2 เขาเป็นผู้นำของอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบสามปี แล้วก็ตายไป และศพของเขาถูกฝังอยู่ที่ชามีร์
ยาอีร์ผู้นำ
3 หลังจากโทลาตาย ยาอีร์ก็ขึ้นมาแทน เขาเป็นชาวกิเลอาด และเป็นผู้ตัดสินคดีให้กับอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบสองปี 4 เขามีลูกชายสามสิบคน ลูกทั้งสามสิบคนนี้ขี่ลาสามสิบตัว และดูแลเมืองสามสิบเมือง ที่อยู่ในแผ่นดินกิเลอาด (เมืองพวกนี้มีชื่อเรียกว่า พวกหมู่บ้านของยาอีร์[e] มาจนถึงทุกวันนี้) 5 ยาอีร์ตายและถูกฝังที่เมืองคาโมน
ชาวอัมโมนต่อสู้กับชาวอิสราเอล
6 ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาพระยาห์เวห์อีก พวกเขาไปรับใช้พระบาอัล และพระอัชทาโรท รวมทั้งไปรับใช้พระต่างๆของชาวอาราม ชาวไซดอน ชาวโมอับ ชาวอัมโมน และชาวฟีลิสเตีย พวกเขาได้ละทิ้งพระยาห์เวห์ และไม่รับใช้พระองค์ 7 พระยาห์เวห์ก็เลยโกรธพวกชาวอิสราเอล พระองค์จึงขายชาวอิสราเอลให้ไปตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและชาวอัมโมน 8 พวกนี้จึงข่มเหงและบีบบังคับชาวอิสราเอล ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา พวกนี้ได้ข่มเหงชาวอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดน ในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ที่อยู่ในกิเลอาด เป็นเวลาถึงสิบแปดปี
9 และชาวอัมโมนก็ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปสู้กับชาวยูดาห์ด้วย และยังไปสู้กับชาวเบนยามิน และชาวเมืองของเอฟราอิมด้วยเหมือนกัน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงทุกข์ร้อนอย่างหนัก 10 ชาวอิสราเอลจึงร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระองค์แล้ว ที่พวกเราได้ละทิ้งพระเจ้าของเราและไปรับใช้พระบาอัล”
11 แล้วพระยาห์เวห์ได้พูดกับชาวอิสราเอลว่า “ไม่ใช่เราหรอกหรือ ที่ได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากชาวอียิปต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวอัมโมน และชาวฟีลิสเตีย 12 แล้วตอนที่พวกชาวไซดอน ชาวอามาเลค และชาวมาโอน ได้ข่มเหงเจ้า พวกเจ้าก็ได้ร้องขอให้เราช่วย และเราก็ได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกมัน 13 แต่พวกเจ้าได้ละทิ้งเราไป และไปรับใช้พระอื่นๆ อย่างนั้นเราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว 14 ไปร้องขอความช่วยเหลือจากพระพวกนั้นที่เจ้าได้เลือกสิ ให้พวกมันมาช่วยพวกเจ้า ตอนที่พวกเจ้าทุกข์ร้อนอยู่นี้” 15 ชาวอิสราเอลพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “พวกเราทำบาปไปแล้ว พระองค์จะทำอะไรกับเราก็ได้ ที่พระองค์เห็นว่าสมควร แต่ตอนนี้ ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด” 16 พวกเขาก็เลยเอาพระของคนต่างชาติพวกนั้นไปโยนทิ้ง และหันกลับมารับใช้พระยาห์เวห์ แล้วพระยาห์เวห์ก็ใจอ่อน ทนไม่ไหวที่จะเห็นพวกอิสราเอลต้องทนทุกข์อีกต่อไป
เยฟธาห์ผู้นำกู้ชาติ
17 พวกชาวอัมโมนถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อทำสงคราม และพวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่กิเลอาด ส่วนชาวอิสราเอลก็รวมตัวกัน และตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์ 18 พวกผู้นำของกองทัพของกิเลอาดพูดกันว่า “ใครก็ตามที่นำหน้าพวกเราเข้าสู้รบกับชาวอัมโมน เขาก็จะได้เป็นหัวหน้าของชาวกิเลอาดทั้งหมด”
บนเส้นทางไปเมืองเอมมาอูส
(มก. 16:12-13)
13 ในวันนั้นศิษย์สองคนของพระเยซูกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มราวๆสิบเอ็ดกิโลเมตร 14 พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น 15 พระเยซูก็เข้ามาใกล้ และเดินไปกับพวกเขา 16 แต่พระเจ้าทำให้พวกเขา จำพระองค์ไม่ได้ 17 พระเยซูจึงถามว่า “พวกคุณกำลังเดินคุยกันเรื่องอะไรหรือ” พวกเขาก็หยุดเดิน ทำหน้าตาเศร้าหมอง 18 ชายคนหนึ่งชื่อเคลโอปัสก็ตอบว่า “ในเมืองเยรูซาเล็ม สงสัยจะมีแต่คุณเท่านั้น ที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้”
19 พระเยซูตอบว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
พวกเขาตอบว่า “ก็เรื่องที่เกิดกับเยซูชาวนาซาเร็ธไง เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า ในสายตาของพระเจ้าและคนทั้งปวงเห็นว่าเยซูเป็นคนที่มีฤทธิ์เดชมาก ทั้งในด้านคำพูดและการกระทำ 20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำของเรา ส่งเขาไปให้ผู้มีอำนาจของโรมตัดสินประหารชีวิต แล้วเขาก็ถูกตรึงบนไม้กางเขน 21 พวกเราเคยหวังไว้ว่า เขาจะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นสามวันมาแล้ว 22 แต่เมื่อเช้าตรู่วันนี้เอง มีผู้หญิงบางคนในพวกเราไปที่อุโมงค์ แล้วมาพูดให้เราประหลาดใจว่า 23 พวกนางหาเขาไม่เจอ และยังบอกอีกว่าได้เห็นทูตสวรรค์สององค์ในนิมิตมาบอกว่า เยซูยังมีชีวิตอยู่ 24 พวกเราบางคนวิ่งไปดูที่อุโมงค์ ก็ไม่พบศพจริงๆเหมือนกับที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นบอก”
25 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงได้โง่อย่างนี้ ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าบอก 26 ก่อนที่พระคริสต์จะได้รับสง่าราศีนั้น พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานก่อนไม่ใช่หรือ” 27 แล้วพระเยซูก็เริ่มอธิบายข้อพระคัมภีร์ต่างๆที่พูดถึงพระองค์จนหมดเกลี้ยง เริ่มตั้งแต่โมเสสตลอดไปจนถึงผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน
28 เมื่อเกือบจะถึงหมู่บ้านเอมมาอูส พระเยซูทำท่าเหมือนจะเดินเลยไป 29 พวกเขาก็คะยั้นคะยอให้พระองค์อยู่ และบอกว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ใกล้มืดแล้วด้วย ไปพักกับพวกเราก่อนเถอะ” พระเยซูจึงเข้าไปพักอยู่กับพวกเขา
30 เมื่อพวกเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น พระองค์หยิบขนมปังขึ้นมาขอบคุณพระเจ้า แล้วก็หักขนมปังแบ่งให้กับพวกเขา 31 แล้วตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น จำพระเยซูได้ แล้วพระองค์ก็หายวับไปกับตา 32 พวกเขาจึงพูดกันว่า “มิน่าล่ะ ใจของเราถึงได้ร้อนรุ่มน่าดูเลย ในระหว่างทางที่พระองค์พูดและอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้ฟัง”
33 ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้นกลับไปเมืองเยรูซาเล็มทันที และพบกับพวกศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนที่ชุมนุมกันอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ 34 กลุ่มที่ชุมนุมนั้นก็บอกกับสองคนนี้ว่า “องค์เจ้าชีวิต ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆพระองค์มาปรากฏตัวให้ซีโมนเห็น”
35 แล้วทั้งสอง ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง และเล่าให้ฟังว่าพวกเขาจำพระเยซูได้ตอนที่พระองค์หักขนมปังให้
พระเยซูปรากฏตัวต่อหน้าลูกศิษย์
(มธ. 28:16-20; มก. 16:14-18; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)
36 ขณะที่ทั้งสองยังเล่าเรื่องนี้อยู่นั้น พระเยซูมายืนอยู่กับพวกเขา และพูดว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข”
37 พวกเขาก็สะดุ้งตกใจกลัว คิดว่าเจอผี 38 พระเยซูจึงพูดว่า “ตกใจทำไม ทำไมถึงขี้สงสัยอย่างนี้ 39 ดูมือและเท้าของเราสิ นี่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่เชื่อลองจับดู จะได้รู้ว่าไม่ใช่ผี เพราะผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูกอย่างที่คุณเห็นเรามีหรอก”
40 เมื่อพูดเสร็จ พระองค์ก็ยื่นมือและเท้าให้พวกเขาดู 41 พวกศิษย์ดีใจและแปลกใจมาก ไม่อยากเชื่อว่าเป็นจริง แล้วพระเยซูก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรกินบ้าง” 42 พวกเขาจึงเอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ 43 พระองค์ก็เอามากินต่อหน้าพวกเขา
44 แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “เมื่อก่อนตอนที่เราอยู่กับพวกคุณ เราได้บอกแล้วว่า ทุกเรื่องที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับเราในกฎปฏิบัติของโมเสส ในหนังสือของพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และในหนังสือสดุดี จะต้องเกิดขึ้นตามนั้น”
45 แล้วพระองค์เปิดใจพวกเขาให้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์บอกพวกเขาว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และจะฟื้นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 แล้วเรื่องการกลับตัวกลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากบาปจะต้องถูกประกาศไปในนามของเราให้คนทุกชาติรู้ เริ่มจากเมืองเยรูซาเล็มก่อน 48 พวกคุณจะต้องเป็นพยานเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ที่คุณเห็น 49 แล้วเราจะส่งพระวิญญาณมาให้ เป็นพระวิญญาณที่พระบิดาของเราได้สัญญาว่าจะให้กับพวกคุณ แต่พวกคุณต้องคอยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก่อน จนกว่าจะได้รับฤทธิ์อำนาจนั้นจากสวรรค์”
พระเยซูกลับสู่สวรรค์
(มก. 16:19-20; กจ. 1:9-11)
50 จากนั้นพระเยซูก็นำพวกเขาไปที่หมู่บ้านเบธานี และยกมือขึ้นอวยพรพวกเขา 51 ขณะที่ยังอวยพรอยู่นั้น พระองค์ก็จากพวกเขาไป โดยถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ 52 พวกเขากราบไหว้พระองค์ และกลับไปที่เมืองเยรูซาเล็มด้วยความปลาบปลื้มใจ 53 แล้วพวกเขาก็อยู่ในวิหารเป็นประจำเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
นมัสการพระยาห์เวห์ด้วยความร่าเริง
บทเพลงสดุดี แห่งการขอบพระคุณ
1 ทั่วทั้งแผ่นดินโลกเอ๋ย
โห่ร้องด้วยความยินดีให้กับพระยาห์เวห์
2 ให้นมัสการพระยาห์เวห์ด้วยความร่าเริง
และเข้ามาร้องเพลงด้วยความชื่นบานต่อหน้าพระองค์
3 ให้รู้ไว้เถิดว่า พระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้า
พระองค์สร้างเราขึ้นมา เราจึงเป็นของพระองค์
เราเป็นชนชาติของพระองค์ เป็นแกะในทุ่งหญ้าของพระองค์
4 ให้ผ่านประตูทั้งหลายของพระองค์เข้ามาด้วยการขอบคุณ
ให้เข้ามาในลานวิหารทั้งหลายของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ
ให้ขอบคุณพระองค์และสรรเสริญชื่อของพระองค์เถิด
5 เพราะพระยาห์เวห์นั้นดี
ความรักมั่นคงของพระองค์อยู่ตลอดไป
ความสัตย์ซื่อของพระองค์จะคงอยู่ทุกชั่วอายุ
11 บ้านของคนชั่วจะถูกทำลายไป
แต่เรือนของคนซื่อสัตย์จะเจริญรุ่งเรือง
12 มีทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนถูกต้อง
แต่สุดท้ายกลับนำไปสู่ความตาย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International